เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
ความเชื่อมั่น"ซีอีโออาเซียน"ชี้"เศรษฐกิจ-รายได้ปี 62"ชะลอตัวห่วงปมขัดแย้งการค้า-การเมือง


PwC ประเทศไทยเผยผลสำรวจ Global CEO Survey พบซีอีโออาเซียนเกือบครึ่ง มองแนวโน้มเศรษฐกิจโลกปีนี้เติบโตลดลง ฉุดความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของรายได้ลดลงตาม สอดคล้องกับความเชื่อมั่นที่ซบเซาของซีอีโอทั่วโลก หลังเผชิญกับผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งทางการค้า ความไม่แน่นอนทางการเมือง และสภาพเศรษฐกิจขาลงของกลุ่มประเทศมหาอำนาจ โดยผู้นำธุรกิจอาเซียนตระหนักว่าเอไอจะเข้ามาปฏิวัติธุรกิจของพวกเขาในอีก 5 ปีข้างหน้า แต่ยอมรับยังไม่พร้อมนำเอไอเข้ามาใช้งาน เพราะขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ และมีช่องว่างทางทักษะภายในองค์กร “PwC”แนะให้ซีอีโอเร่งเพิ่มทักษะดิจิทัลให้แก่พนักงาน เพื่อจัดทัพองค์กรให้พร้อมทำงานร่วมกับเอไอตั้งแต่วันนี้


นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหารและหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจซีอีโอทั่วโลก ครั้งที่ 22 ประจำปี 2562 (PwC’s 22nd Annual Global CEO Survey) ที่ใช้ในการประชุมสมัชชาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum: WEF) ณ กรุง ดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งสำรวจความคิดเห็นซีอีโอทั่วโลกจำนวน 1,378 รายใน 91 ประเทศ โดยในจำนวนนี้เป็นซีอีโอจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 78 รายว่า ซีอีโออาเซียนเชื่อว่า เศรษฐกิจโลกปีนี้จะชะลอตัวจากปีก่อน คล้ายคลึงกันกับมุมมองของซีอีโอโลก โดยพบว่าซีอีโออาเซียนถึง46% เชื่อว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกปีนี้จะลดลงจากปีก่อน เปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีเพียง 10% ขณะที่ซีอีโอโลก 28% ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะชะลอตัวเปรียบเทียบจากปีก่อนที่ 5%

5 ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเติบโตของ“เศรษฐกิจ-รายได้”

ทั้งนี้ พบว่า 5 อันดับปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและรายได้ในสายตาของซีอีโออาเซียนในปี 2562 ได้แก่ ความขัดแย้งทางการค้า (83% เทียบกับโลกที่ 70%) ความไม่แน่นอนทางภูมิศาสตร์การเมือง (81% เทียบกับโลกที่ 75%) ความไม่แน่นอนของนโยบาย (78% เท่ากับโลก) กฎระเบียบข้อบังคับที่มากและเข้มงวดเกินไป (77% เทียบกับโลกที่ 73%) และ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก (73% เท่ากับโลก)

“ผลสำรวจในปีนี้สะท้อนให้เห็นว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในช่วงขาลง โดยซีอีโอมองประเด็นเรื่องของความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ความไม่แน่นอนทางการเมืองในหลายๆ ประเทศ รวมถึงสภาพแวดล้อมของกฎระเบียบและนโยบายต่างๆ ที่มีความเข้มงวดหรือมีมากเกินไปเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กดดันการเติบโต โดยในปีนี้ เปอร์เซ็นต์ของซีอีโออาเซียนที่มีมุมมองในเชิงลบยังมีมากกว่าซีอีโลกด้วย ซึ่งแตกต่างจากปีก่อนๆ ที่ผู้บริหารในฝั่งเอเชียมักมีความเชื่อมั่นมากกว่าซีอีโอจากฝั่งตะวันตก” นาย ศิระ กล่าว

ปมขัดแย้งการค้าระหว่าง”สหรัฐ-จีน”หนุนธุรกิจปรับแผนกลยุทธ์

นายศิระ กล่าวต่อว่าสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ส่งผลให้ซีอีโออาเซียนมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจและกลยุทธ์ในการเติบโต โดย29%มีการปรับกลยุทธ์ในการ

บริหารห่วงโซ่อุปทานและจัดหาวัตถุดิบ โดยหันไปส่งออกและหาแหล่งวัตถุดิบจากประเทศอื่นแทน รวมถึงชะลอการใช้จ่ายด้านการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ และคาดหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถเจรจากันได้ และอีก 17% เลือกที่จะเปลี่ยนกลยุทธ์ไปเติบโตในตลาดอื่นๆที่มีศักยภาพ เช่น ตลาดเกิดใหม่ในเอเชียอย่าง อินโดนีเซีย และ เวียดนาม

ในส่วนของความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของรายได้(Revenue growth)ของซีอีโออาเซียนในปีนี้ ผลสำรวจระบุว่า เปอร์เซ็นต์ความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของรายได้ในระยะ 12 เดือนข้างหน้านั้น ลดลงจาก 44% ในปีก่อนเหลือ 33% ในปีนี้ ขณะที่ 39% ของซีอีโออาเซียนเชื่อมั่นว่า รายได้ในอีก 3 ปีข้างหน้าจะเติบโต ลดลงจากปีก่อนที่ 53%

เผย 3อุปสรรคที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจ

สำหรับอุปสรรคสำคัญ 3อันดับแรกที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจของซีอีโออาเซียน ได้แก่ 1. การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ (82%) 2. ภัยคุกคามทางไซเบอร์ (81%) และ3.ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว (72%)

“การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทักษะทางด้านดิจิทัล ซึ่งปัจจุบันกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด จะส่งผลให้บริษัทสูญเสียโอกาสหลายๆ อย่าง ทั้งความสามารถทางการแข่งขัน การพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ รวมไปถึงการขยายสู่ตลาดใหม่ๆอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นปัญหาใหญ่ของธุรกิจในอาเซียน”นายศิระกล่าว

ผู้นำธุรกิจอาเซียนยังมองด้วยว่า 3อันดับตลาดน่าลงทุนที่จะช่วยผลักดันให้บริษัทของพวกเขาเติบโตได้ในปีนี้ ได้แก่ จีน (42%) รองลงมาคือ อินโดนีเซีย (24%) และอันดับที่สาม คือ สหรัฐอเมริกา (21%) ตามลำดับ

อาเซียนพร้อมใช้ “เอไอ” ปฏิวัติธุรกิจแล้วหรือยัง?

นอกจากนี้นายศิระยังย้ำด้วยว่าผู้นำธุรกิจต่างตระหนักดีว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence) หรือ เอไอ กำลังเข้ามามีอิทธิพลต่อการดำเนินธุรกิจทั่วโลก โดย72%ของซีอีโออาเซียนคาดว่าการปฏิวัติของเอไอจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อโลก ยิ่งกว่าการปฏิวัติทางอินเทอร์เน็ตซึ่งเคยเกิดขึ้นในช่วงกลางของยุค 90s และ 87% ยังเห็นด้วยว่าเอไอจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจของตนอย่างมีนัยสำคัญในอีก 5 ปีข้างหน้า

แต่ผลสำรวจกลับพบว่าธุรกิจอาเซียนเกือบ 40%ยังไม่มีการนำเอไอเข้ามาใช้งานในปัจจุบัน ขณะที่อีก32% มีแผนที่จะนำเอไอเข้ามาใช้งานในอีก 3 ปีข้างหน้า 28% มีการใช้งานเอไอในวงจำกัดและมีเพียง 4%ที่มีการใช้เอไออย่างกว้างขวางและเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติงานในองค์กร

“เรามองว่าสาเหตุสำคัญที่ผู้บริหารส่วนใหญ่ยังคงไม่ตื่นตัวในการพัฒนา หรือลงทุนเพื่อนำเอไอเข้ามาประยุกต์ใช้ในการทำงานอย่างจริงจัง แม้ว่าจะตระหนักถึงความสำคัญในจุดนี้น่าจะเป็นเพราะช่องว่างทางทักษะของแรงงาน ที่มีความรู้ไม่เพียงพอในการใช้งานเอไอ”เขากล่าว

“ช่องว่างทางทักษะ”จุดบอดการใช้เอไอ

ทั้งนี้ช่องว่างทางทักษะ(Skills gap)ถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการดำเนินธุรกิจในยุคดิจิทัล เพราะปัจจุบันหลายธุรกิจประสบปัญหาการมีแรงงานที่มีทักษะในการทำงานน้อยกว่าที่คาด หรือมีคุณสมบัติไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดย 58% ของซีอีโออาเซียนยังมองว่า ปัญหานี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้องค์กรของพวกเขาไม่สามารถใช้งานเอไอได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและสูญเสียโอกาสในการแสวงหาตลาดใหม่ๆ โดยผลกระทบรองลงมา คือ ทำให้ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรที่สูงเกินกว่าที่คาดและมีผลต่อคุณภาพ และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

“ในยุคที่หุ่นยนต์และระบบออโตเมชั่นเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจอย่างเช่นทุกวันนี้ ภาครัฐ ผู้นำองค์กร รวมถึงพวกเราทุกคนควรต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองด้วยการเพิ่มพูนทักษะใหม่และฝึกฝนอบรมทักษะเดิมอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานทักษะทางด้านดิจิทัล การคิดวิเคราะห์ข้อมูลและการใช้เหตุผล

“ผมมองว่าเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของทุกฝ่าย ส่วนตัวยังเชื่อว่าการเข้ามาของเอไอจะเป็นไปในลักษณะของ “เพื่อนร่วมงาน”ที่เข้ามาสนับสนุนการทำงานประเภทที่ต้องทำซ้ำๆและเปิดโอกาสให้แรงงานคนได้ไปใช้ทักษะในด้านอื่นมากกว่าเข้ามาแย่งงาน แต่นั่นแปลว่าเราก็ต้องรู้จักวิธีที่จะสามารถทำงานร่วมกับเอไอได้อย่างเต็มประสิทธิภาพด้วย”

ขณะที่สถาบันการศึกษาเอง ก็ควรส่งเสริมหลักสูตรสะเต็มศึกษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นแนวทางการจัดการศึกษาให้เกิดการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมและคณิตศาสตร์ให้แก่บุคลากรที่กำลังจะถูกป้อนออกสู่ตลาดแรงงาน โดยไม่ลืมที่จะปลูกฝังทักษะทางด้านอารมณ์ควบคู่กัน

LastUpdate 22/02/2562 10:52:24 โดย : Admin
26-04-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (25 เม.ย.67) บวก 3.17 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,364.27 จุด

2. ประกาศ กปน.: 29 เม.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนบ้านบางไผ่-บ้านหนองเพรางาย

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (25 เม.ย.67) บวก 1.72 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,362.82 จุด

4. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำยังคงทรงตัวในกรอบเช่นเดิมระหว่าง 2,290-2,330 เหรียญ

5. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (24 เม.ย.67) ลบ 42.77 จุด บอนด์ยีลด์พุ่งฉุดตลาด บดบังผลประกอบการ บจ.แกร่ง

6. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (24 เม.ย.67) ร่วง 3.70 เหรียญ นักลงทุนคลายกังวลความตึงเครียดในตะวันออกกลาง

7. ประเทศไทยอากาศร้อนถึงร้อนจัด และมีฝนฟ้าคะนองในภาคเหนือ-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก-ภาคใต้ ฝั่งตต. 20% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคอีสาน-ภาคใต้ ฝั่ง ตอ. 10%

8. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 37.00-37.25 บาท/ดอลลาร์

9. ทองเปิดตลาด (25 เม.ย. 67) ปรับขึ้น 200 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 41,300 บาท

10. ค่าเงินบาทเปิดวันนึ้ (25 เม.ย.67) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 37.08 บาทต่อดอลลาร์

11. ตลาดหุ้นไทยเปิด (25 เม.ย.67) ลบ 2.13 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,358.97 จุด

12. ตลาดหุ้นปิด (24 เม.ย.67) บวก 3.64 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,361.10 จุด

13. ประกาศ กปน.: 27 เม.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำสำโรง

14. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (24 เม.ย.67) บวก 3.44 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,360.90 จุด

15. MTS Gold คาดว่าจะมีกรอบแนวรับที่ 2,260 เหรียญ และแนวต้านที่ 2,335 เหรียญ

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 26, 2024, 4:33 am