แบงก์-นอนแบงก์
บล.ไทยพาณิชย์คาดดัชนีครึ่งปีหลังเคลื่อนไหวในกรอบ 1,700 - 1,750 จุด


 

 

 

นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลด้านการลงทุนและที่ปรึกษาการลงทุน (CIO Office) ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้มุมมองการลงทุนในครึ่งปีหลังว่าในช่วงครึ่งปีหลังนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางของสหรัฐฯและทั่วโลกจะเป็นตัวกำหนดทิศทางการลงทุน ในขณะที่ความขัดแย้งทางการค้าจะยืดเยื้อไม่จบลงง่ายๆ แม้ว่าการพบกันระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์-สี จิ้นผิงนอกรอบ G-20 ที่ผ่านมาจะทำให้ Sentiment ตลาดดูดีขึ้นแต่ความขัดแย้งน่าจะขยายตัวไปยังหลายประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อความผันผวนของทิศทางตลาดต่อไป จนกว่าจะถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการหาเสียง และสร้างคะแนนความนิยมให้กับประธานาธิบดี ทรัมป์ ก่อนการเลือกตั้งฯภายใต้การชูนโยบาย “Make America Great Again” ในเดือนพฤศจิกายน 2563

         
ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลก จะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ และจะต้องรักษา policy space กับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่จะปรับลดลง ไม่ให้เกิดแรงกดดันกับอัตราแลกเปลี่ยนให้ซ้ำเติมการส่งออกมากขึ้นอีกด้วย โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีกระสุนที่จะลดดอกเบี้ยมากที่สุด โดยคาดว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed fund rate) ในปีนี้รวม 2 ครั้งจากปัจจุบัน ซึ่งจะถือเป็นสัญญานเชิงบวกว่า Fed พร้อมจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างทันที เป็นเหมือนการฉีดวัคซีนป้องกันให้กับเศรษฐกิจก่อนที่โรคร้ายแรงจะเกิด จะทำให้นักลงทุนลดความกังวลของเรื่องเศรษฐกิจจะเข้าสู่ recession ในปีหน้า ประกอบกับแรงกดดันของประธานาธิบดีทรัมป์ ได้เรียกร้องให้ Fed ลดอัตราดอกเบี้ยมาแล้วหลายครั้งและเคยวิจารณ์การทำงานของ Fed ว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยถึง 1.0% ในปีที่แล้ว ถือเป็นปัจจัยที่ฉุดเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐฯ นอกจากนี้จะเสนอชื่อ นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ และนางจูดี้ เชลตัน ซึ่งมีแนวความคิดสนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมการ Fed อีกด้วย
          
กลยุทธ์การลงทุนในช่วงไตรมาส 3/2562 ตลาดหุ้นที่มีมุมมองในเชิงบวก แต่แนะนำให้ลงทุนในระยะสั้นตาม sentiment ตลาดคือ
          1.ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากเศรษฐกิจน่าจะปรับตัวดีขึ้นได้จากการลดดอกเบี้ยของ Fed และจากสภาพคล่องในตลาดการเงินที่เพิ่มขึ้น
          2.ตลาดหุ้นจีน ซึ่งจะได้รับแรงหนุนจากนโยบายการเงิน การคลัง และราคายังไม่แพงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในกลุ่มพัฒนาแล้ว
          สำหรับการลงทุนในระยะกลาง คือ
          3.ประเทศที่จะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เช่นเวียดนาม โดยมูลค่าการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของเวียดนาม ได้เพิ่มขึ้นสูงที่สุดในรอบ 4 ปี ในขณะที่ valuation และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในตลาดหุ้นเวียดนามยังน่าสนใจ
          4.ตลาดหุ้นไทยที่จะได้รับปัจจัยหนุนจากการเมืองในประเทศ โดยรัฐบาลใหม่มีแนวโน้มประกาศนโยบายด้านเศรษฐกิจช่วงปลายเดือนกรกฎาคม นี้
         
แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุการลงทุนยาว เพราะแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในทิศทางขาลงก็ตาม แต่เรามองว่าราคาตราสารหนี้ได้รับรู้ไปมากแล้ว ซึ่งหาก Fed ปรับลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ อาจส่งผลให้ Yield Curve ปรับเพิ่มขึ้น และราคาตราสารหนี้จะปรับลดลงจากระดับปัจจุบันได้
          
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ควรเลือกลงทุนในนโยบายลงทุนที่ยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาโดยผู้จัดการกองทุน เช่น การลงทุนในกองทุนผสม ที่มีการกระจายการลงทุนทั้งในตลาดตราสารหนี้และตราสารทุนทั้งในไทยและต่างประเทศ หรือแนะนำให้ลงทุนในผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีการคุ้มครองเงินต้น
       
 
 
 ด้านนายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด(SCBS)กล่าวถึงมุมมองด้านเศรษฐกิจไทยว่า เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างชัดเจนในไตรมาสแรก โดยเฉพาะในภาคต่างประเทศ ซึ่งการส่งออกสินค้าและบริการที่แท้จริงหดตัวลง 4.9% YoY และมีส่วนสำคัญที่ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP growth contributor) ติดลบค่อนข้างมาก (-3.6%) ซึ่งเป็นตัวฉุดรั้ง GDP ใน 1Q62 ให้ขยายตัวลดลงเหลือ +2.8% ดังนั้น ปัจจัยที่จะเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจในปี 2562 จึงจำเป็นต้องพึ่งการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวเป็นหลัก โดย SCBS คาดการณ์ GDP ปี 2562 ไว้ที่ 3.1% ลดลงจากเดิม 3.3%
          
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทย ประเมินว่าได้รับปัจจัยหนุนจากเงินทุนต่างชาติไหลเข้า โดยรัฐบาลใหม่กำลังจะเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้น เนื่องจากความชัดเจนทางการเมือง รวมถึงการดำเนินนโยบายเพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจและนักลงทุน ทั้งนี้ประเมินว่า SET Index ครึ่งปีหลัง 2562 มีโอกาสเคลื่อนไหวที่ระดับ 1700-1750 จุด
          
ทั้งนี้กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย เรามองว่าตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงต่ำจากกรณีสงครามการค้า ในขณะที่การปรับลดประมาณการณ์กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนใกล้สิ้นสุดแล้ว คาดว่า SET Index ในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 ยังคงมีโอกาสเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 1700 - 1750 จุด โดยหุ้น Top Picks แนะนำลงทุนในไตรมาส 3/2562 เรามุ่งเน้นไปที่หุ้นที่อ้างอิงปัจจัยในประเทศ Domestic play ที่มีประเด็นการเติบโตและได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาล ซึ่งจะมีความโดดเด่นกว่า Global play
          
กลุ่มธนาคาร นิคมอุตสาหกรรม รับเหมาก่อสร้าง จะเด่นขึ้นในระยะสั้น กลุ่มค้าปลีก การแพทย์ ท่องเที่ยว ยังคงเป็นกลุ่มที่น่าลงทุนในระยะยาว
          AMATA : กำไรแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และได้ประโยชน์จาก EEC นอกจากนี้การย้ายสายการผลิตมายังประเทศไทยจะส่งผลให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับประโยชน์อย่างชัดเจนจากการย้ายฐานผลิตออกมาจากจีน เพราะมีห่วงโซ่อุปทานและให้ผลประโยชน์ทางภาษีที่ดีกว่าประเทศอื่น
          ROJNA : รายได้ประจำช่วยป้องกันความเสี่ยงและได้ประโยชน์จากวัฏจักรการลงทุนรอบใหม่
          CHG : เชื่อมั่นผลประกอบการที่แข็งแกร่ง เมื่อมองต่อไปข้างหน้า คาดกำไรจะปรับตัวดีขึ้นใน 2H62 ในด้าน valuation หุ้นกลุ่มการแพทย์ซื้อขายที่ PE 32 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ 35 เท่า
          KTB : กำไรพิเศษได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายภาครัฐและสินเชื่อฟื้นตัว
          IVL : valuation ไม่แพงและกำไรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของปี นอกจากนี้ยังมีผลกระทบน้อยที่สุดจากสงครามการค้าในปัจจุบัน
 
          
 
 
ขณะที่นายสาธิต ผ่องธัญญา ผู้อำนวยการอาวุโส ที่ปรึกษาด้านการวางแผนการส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น (Estate Planning & Family Office) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวถึง ภาพรวมของกฎหมายภาษีอากรที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนเพื่อนำมาพิจารณาในการวางแผนการลงทุน โดยกฎหมายภาษีที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในช่วงหลังไตรมาส 3 ของปี 2562 หลักๆ ได้แก่ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 52) พ.ศ. 2562 (ประกาศราชกิจจานุเบกษา 22 พฤษภาคม 2562) กำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก “กองทุนรวม” ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
 
โดยสาระสำคัญของกฎหมายดังกล่าว กำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราภาษี 15% จากกองทุนรวมที่ฝากเงินหรือลงทุนในตราสารหนี้ซึ่งได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยหรือส่วนลด ถือเป็น “รายได้ดอกเบี้ย” ตามเงินได้พึงประเมินมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร โดยจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2562 ทั้งนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรี 25 มิถุนายน 2562 จะมีการออกกฎหมายลำดับรองยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่กองทุนรวมสำหรับเงินได้ตามมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะส่วนที่กองทุนถืออยู่ก่อนวันที่ 20 สิงหาคม 2562 รวมถึงกองทุนรวมบางประเภท เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) เนื่องจากเป็นกองทุนที่ตั้งขึ้นโดยกฎหมายเฉพาะมิใช่กองทุนรวมภายใต้กฎหมายดังกล่าว, กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาวที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการออมและรองรับการเกษียณในอนาคต ในด้านภาระภาษีฝั่งผู้ลงทุนจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากกองทุนรวมตราสารหนี้และกำไรจากการขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ของผู้ถือหน่วยลงทุนที่เป็นนิติบุคคล (ของผู้ถือหน่วยลงทุนบุคคลธรรมดาได้รับยกเว้นภาษีเงินได้อยู่แล้วในปัจจุบัน) ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดภาระภาษีซ้ำซ้อน เนื่องจากผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ได้เสียภาษีเงินได้ในระดับกองทุนรวมไปแล้ว
          
ทั้งนี้เนื่องจากกฎหมายจะมีผลใช้บังคับ 20 สิงหาคม 2562 โดยมีผลเฉพาะกับสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ใหม่หลังกฎหมายใช้บังคับ อาจทำให้ผลตอบแทนโดยรวมของกองทุนอาจลดลง แต่จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะทรัพย์สินภายในกองทุนมีทั้งตราสารหนี้เก่า (ยกเว้นภาษี) และตราสารหนี้ใหม่ (ถูกจัดเก็บภาษี) จึงทำให้กองทุนยังพอมีระยะเวลาในการปรับตัวก่อนถึงเวลาที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้
          
นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงแนวโน้มรูปแบบกองทุนใหม่ที่จะมาทดแทนกองทุน LTF ที่จะสิ้นสุดการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีปลายปี 2562 ในขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงการพิจารณารูปแบบกองทุนใหม่ที่จะมาทดแทนกองทุน LTF โดยกองทุนแบบใหม่นี้จะมีการกำหนดสัดส่วนการลงทุนโดยเน้นรูปแบบการลงทุนที่รัฐบาลสนับสนุน เช่น ลงทุนในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและหุ้นยั่งยืน บรรษัทภิบาล หุ้น SME และหุ้น S-Curve สำหรับข้อกำหนดเรื่องระยะเวลาการถือครองรวมถึงจำนวนสูงสุดเพื่อสิทธิลดหย่อนภาษี อาจจะต้องรอความชัดเจนของคณะรัฐบาลชุดใหม่ ที่จะเข้ามาบริหารงานเพื่อพิจารณานโยบายทางภาษีดังกล่าวต่อไป

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 17 ก.ค. 2562 เวลา : 21:07:29
25-04-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (24 เม.ย.67) บวก 3.64 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,361.10 จุด

2. ประกาศ กปน.: 27 เม.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำสำโรง

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (24 เม.ย.67) บวก 3.44 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,360.90 จุด

4. MTS Gold คาดว่าจะมีกรอบแนวรับที่ 2,260 เหรียญ และแนวต้านที่ 2,335 เหรียญ

5. ทองนิวยอร์ก ปิดเมื่อคืน (23 เม.ย.67) ร่วง 4.30 เหรียญ คลายความกังวลตะวันออกกลาง-จับตาเงินเฟ้อและGDPสหรัฐ

6. ดัชนีดาวโจนส์ ปิดเมื่อคืน (23 เม.ย.67) พุ่งขึ้น 263.71 จุด ขานรับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนแข็งแกร่งเกินคาด

7. ทั่วไทยมีฝนฟ้าคะนอง ภาคเหนือ 30% ภาคอีสาน-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก-ภาคใต้ ฝั่ง ตต. 20% ภาคใต้ ฝั่ง ตอ.10% กรุงเทพปริมณฑล ฝนเล็กน้อยบางแห่ง

8. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 36.80-37.05 บาท/ดอลลาร์

9. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (24 เม.ย.67) แข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 36.93 บาทต่อดอลลาร์

10. ทองเปิดตลาด (24 เม.ย. 67) ปรับขึ้น 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 40,950 บาท

11. ตลาดหุ้นไทยเปิด (24 เม.ย.67) บวก 7.26 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,364.72 จุด

12. ประกาศ กปน.: 25 เม.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนกาญจนาภิเษก (ด้านตะวันตก)

13. ประกาศ กปน.: 25 เม.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนประชาร่วมใจ

14. ตลาดหุ้นปิด (23 เม.ย.67) บวก 7.94 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,357.46 จุด

15. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (23 เม.ย.67) บวก 11.57 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,361.09 จุด

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 25, 2024, 3:11 am