เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังออกอาการ รัฐต้องเร่งอัดมาตรการกระตุ้นเพิ่ม


หลังจากสภาพัฒน์ฯรายงานตัวเลข GDP Growth ไตรมาส 2 ปี 2562 ขยายตัว 2.3% yoy ชะลอลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 และต่ำสุดในรอบ 4 ปี 9 เดือน และต่ำกว่าที่ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส หรือ ASP คาดไว้ที่ 2.7% สาเหตุหลักมาจากเกือบทุกตัวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชะลอลง


 
 
 
และที่หนักสุดก็คือภาคส่งออกซึ่งคิดเป็น 68% ของGDPที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าที่รุนแรงจะเห็นได้จากตัวเลขส่งออกไตรมาส 2 ปีนี้ ในรูปของสกุลดอลลาร์สหรัฐ หดตัวเฉลี่ย 3.8% yoy และในรูปเงินบาทหดตัวสูงถึง 6.1% จากเงินบาทต่อดอลลาร์ที่แข็งค่าเฉลี่ยราว 1.2% yoy

อีกทั้งจากการใช้จ่ายภาครัฐที่ขยายตัวเพียง 1.1% ลดลงจาก 3.4% ไตรมาส 1 ปี 2562 จากการเบิกจ่ายที่ลดลง เนื่องจากเป็นไตรมาสที่การจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า ยกเว้นการลงทุนภาครัฐที่พลิกมาขยายตัว 1.4% หลังหดตัว 0.1% ผลจากการเร่งเบิกจ่าย เพื่อการก่อสร้าง เช่น รถไฟสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี, รถไฟทางคู่ชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น

โดยรวมแล้วทำให้ GDP Growth ไทยช่วงครึ่งปีแรก ขยายตัวเฉลี่ย 2.6% ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยฯประเมินว่าGDP Growth ปี 2562 มีความท้าทายอย่างมากหากจะให้ขยายตัวเกิน 3% โดยฝ่ายวิจัยฯยังคงคาดการณ์ GDP ปีนี้ขยายตัว 2.7% ตามเดิมและคาดไตรมาส 3 และ 4 ปี 2562 GDP ต้องขยายตัวเฉลี่ยอย่างตํ่า 2.7-2.8%

สำหรับปัจจัยที่ท้าทายในช่วงครึ่งปีหลัง ยังคงให้น้ำหนักกับภาคส่งออกที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัวจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ชะลอ โดยเฉพาะจีนเนื่องจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีนที่ยืดเยื้อ และมีโอกาสที่จีนจะถูกสหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้ารอบที่ 4 วงเงิน 1.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในวันที่ 1 ก.ย. 2562 และเงินบาทที่แข็งค่า

ขณะที่ไตรมาส 4 ปี 2562 จะได้รับผลกระทบจาก งบประมาณภาครัฐล่าช้า โดยเฉพาะงบลงทุนที่ยังไม่มีการก่อหนี้ผูกพัน ซึ่งสศค. ประเมินเม็ดเงินที่จะหายไปจากระบบเศรษฐกิจราว 7-8 หมื่นล้านบาท หรือราว 0.56% ของ GDP ปี 2561

ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯเชื่อว่าความท้าทายที่เกิดขึ้น ทำให้รัฐบาลและธปท.ต้องเร่งเดินหน้าออกมาตรการทั้งการเงินและการคลังเพิ่มเติมมากกว่าปัจจุบัน เพื่อพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ชะลอลง ดังนี้...

 
 
 
มาตรการกระตุ้นของภาครัฐ โดยครม.เศรษฐกิจอนุมัติมาตรการวงเงิน 3.16 แสนล้านบาท ซึ่งเสนอให้ครม.อนุมัติวันนี้ มุ่งไปที่ 3 กลุ่มคือ การบริโภคครัวเรือน ท่องเที่ยว และการลงทุนเอกชน

อย่างไรก็ตามเม็ดเงินจากมาตรการดังกล่าวที่จะอัดฉีดเข้าระบบเศรษฐกิจได้ทันที จากวงเงินทั้งหมด 3.1 แสนล้านบาท เชื่อว่าจะมีเพียงราว 3-4 หมื่นล้านบาท หรือ 0.25% ของ GDP ไทย ปี 2561 คือที่ราว 16.3 ล้านล้านบาท เช่น มาตรการเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการเป็น 1,000 บาท จาก 500 บาท, อัดฉีดเงิน 1,000 บาท ท่องเที่ยวที่มิใช่ภูมิลำเนา เป็นต้น

ซึ่งฝ่ายวิจัยฯมองว่าไม่น่าเพียงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดว่ารัฐบาลจะต้องเร่งออกมาตรการอื่นเพิ่ม เช่น ช้อปช่วยชาติ, การลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลง 10% (กำลังพิจารณา) เป็นต้น

เชื่อว่ามีโอกาสที่ กนง.อาจปรับลดอัตราดอกเบีย้นโยบายลงเป็นครั้งที่ 2ของปีนี้ราว 25 bps หลังจากต้นเดือนส.ค. 2562 ลดครั้งแรกในรอบ 4 ปี 5 เดือน จาก 1.75% เป็น 1.5% ทำให้แบงก์พาณิชย์ใหญ่และธนาคารของรัฐ ทยอยปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ MOR และ MRR

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 20 ส.ค. 2562 เวลา : 16:20:59
17-12-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ประกาศ กปน.: 20 ธ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนลาดหวาย

2. ตลาดหุ้นปิด (17 ธ.ค.68) ลบ 3.83 จุด ดัชนี 1,256.85 จุด

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (17 ธ.ค.68) ลบ 0.74 จุด ดัชนี 1,259.94 จุด

4. MTS Gold คาดราคาทองคำคาดยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น (Sideway Up) ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,290-4,270 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,350-4,380 เหรียญ

5. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 31.40-31.65 บาท/ดอลลาร์

6. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (16 ธ.ค.68) ลบ 302.30 จุด หุ้นพลังงาน-เฮลธ์แคร์ร่วงฉุดตลาด

7. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (16 ธ.ค.68) ลบ 2.90 ดอลลาร์ หลังพุ่งรับความหวังเฟดลดดอกเบี้ย

8. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (17 ธ.ค.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 31.47 บาทต่อดอลลาร์

9. พยากรณ์อากาศวันนี้ (17 ธ.ค.68) ประเทศไทยตอนบนอากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า "ยอดดอย" หนาวถึงหนาวจัด 6 องศา,ภาคใต้ ฝน 30%

10. ทองเปิดตลาดวันนี้ (17 ธ.ค. 68) พุ่งขึ้น 350 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 65,050 บาท

11. ตลาดหุ้นไทยเปิด (17 ธ.ค.68) บวก 1.04 จุด ดัชนี 1,261.72 จุด

12. ตลาดหุ้นปิด (16 ธ.ค.2568) ลบ 12.72 จุด ดัชนี 1,260.68 จุด

13. ประกาศ กปน.: ด่วน!!! คืนวันพรุ่งนี้ 17 ธ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนรัชดาภิเษก-ท่าพระ

14. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (16 ธ.ค.2568) ลบ 12.37 จุด ดัชนี 1,261.03 จุด

15. MTS Gold คาดราคาทองคำประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,290-4,270 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,360-4,380 เหรียญ

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 17, 2025, 6:07 pm