เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
"พาณิชย์"ประเดิมรับฟังความเห็นการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู ที่ภาคตะวันออก


กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเวทีระดมความเห็นเรื่องโอกาสและความท้าทายของไทยในการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรปทั่วประเทศ เริ่มเวทีแรกที่ภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2562 ระดมมันสมองทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมถกกว่า 150 ชีวิต


 
 
 
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดเวทีระดมความเห็นเรื่องโอกาสและความท้าทายของไทยในการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2562 ณ โรงแรมไบรท์ตัน แกรนด์ พัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นเวทีแรกที่จัดขึ้น ก่อนเดินสายจัดในภูมิภาคอื่นๆ การสัมมนาครั้งนี้ ได้เชิญนักวิจัยจากสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา ซึ่งกรมฯมอบให้ศึกษาวิจัยประโยชน์และผลกระทบจากการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู นำเสนอผลการศึกษาเบื้องต้นให้ที่ประชุมทราบ รวมทั้งได้เชิญวิทยากรจากภาครัฐและเอกชนนำเสนอมุมมองเรื่องโอกาสและผลกระทบจากการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู ต่อด้วยการเปิดเวทีเพื่อระดมความเห็นจากผู้เข้าร่วม ที่มาจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน กลุ่มเกษตรกรและภาคประชาสังคมในภาคตะวันออกกว่า 150 คน
 

 
 
นางอรมน เสริมว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่เห็นว่าการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอกับอียูจะเป็นโอกาสขยายตลาดใหม่ให้กับสินค้าของไทย โดยเฉพาะสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมแปรรูป สิ่งทอ ยานยนต์และชิ้นส่วน รวมทั้งจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ หรืออย่างน้อยป้องกันไม่ให้การลงทุนไหลออกไปยังประเทศอื่นที่อียูมีเอฟทีเอด้วย เช่น เวียดนาม และสิงคโปร์ เป็นต้น รวมทั้งอินโดนีเซียที่การเจรจากับอียูมีความคืบหน้า ทั้งนี้บางส่วนมีมุมมองว่าการฟื้นเจรจามีความท้าทาย เนื่องจากเอฟทีเอที่อียูทำกับประเทศต่างๆมีมาตรฐานสูง ทั้งในส่วนการเปิดตลาดสินค้า บริการ และการลงทุน ตลอดจนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้าอื่นๆ เช่น พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การแข่งขันทางการค้า ทรัพย์สินทางปัญญา การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ เป็นต้น

 
 
 
นางอรมน เพิ่มเติมว่าสำหรับสหภาพยุโรปหรืออียู เป็นตลาดใหญ่มีประชากรกว่า 513 ล้านคน มีรายได้ต่อปีเฉลี่ยต่อหัวสูงถึง 36,531 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสมาชิกถึง 28 ประเทศ จึงมีความสำคัญกับไทยทั้งด้านการค้าและการลงทุนในอันดับต้นๆ โดยเป็นตลาดส่งออกอันดับ 3 ของไทย รองจาก อาเซียน และจีน และมาลงทุนในไทยเป็นอันดับ 4 รองจากญี่ปุ่น จีน และอาเซียน ดังนั้นการที่อียูได้ลงนามจัดทำเอฟทีเอกับเวียดนาม และสิงคโปร์แล้ว ซึ่งคาดว่าจะมีผลใช้บังคับหลังจากผ่านความเห็นชอบของรัฐสภายุโรปภายในปีนี้ และอาจส่งผลให้ประเทศเหล่านี้ได้เปรียบไทยในตลาดอียู เพราะภายใต้เอฟทีเออียู-เวียดนาม อียูจะยกเลิกภาษีนำเข้าที่เก็บกับสินค้ากว่าร้อยละ 71 ของสินค้าทั้งหมดจากเวียดนามในทันที สำหรับสินค้าที่เหลือรวมแล้วกว่าร้อยละ 99 จะทยอยยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าภายใน 7 ปี ขณะที่ภายใต้เอฟทีเออียู-สิงคโปร์ อียูจะยกเลิกภาษีที่เก็บกับสินค้ากว่าร้อยละ 80 ของสินค้าทั้งหมดจากสิงคโปร์ในทันที สำหรับสินค้าที่เหลือจะทยอยยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าภายใน 3-5 ปี ซึ่งมีโอกาสสูงที่ไทยจะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในอียูให้กับ 2 ประเทศนี้ จึงถือเป็นความท้าทายของไทยเป็นอย่างมากในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนและการกีดกันการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น

 
 
สำหรับการเปิดเวทีระดมความเห็นเรื่องการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียูในระดับภูมิภาค ครั้งต่อไปจะจัดขึ้นที่ จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 22 ตุลาคม 2562 จังหวัดสงขลา ในวันที่ 28 ตุลาคม 2562 และจังหวัดขอนแก่น ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 หลังจากนั้น จะรวบรวมผลการระดมความเห็น และผลการศึกษาวิจัยของสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา ซึ่งกำหนดแล้วเสร็จในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2562 เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ) และคณะรัฐมนตรี พิจารณาตัดสินใจในเรื่องนี้ต่อไป

ทั้งนี้ในปี 2561ไทยและอียูมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 47,290.76 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออก 25,041.60 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และไทยนำเข้า 22,249.16 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องบิน เครื่องร่อน อุปกรณ์การบิน เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม สำหรับในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2562 (ม.ค.–ส.ค.) ไทยและอียูมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 29,757.10 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออก 16,093.10 ล้านเหรียญสหรัฐ และไทยนำเข้า 13,664 ล้านเหรียญสหรัฐ

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 10 ต.ค. 2562 เวลา : 15:01:15
19-07-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (18 ก.ค.68) บวก 8.47 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,206.58 จุด

2. ประกาศ กปน.: 24 ก.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนราชพฤกษ์ และถนนบรมราชชนนี

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (18 ก.ค. 68) บวก 7.06 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,205.17 จุด

4. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 3,320 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 3,350 เหรียญ

5. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (17 ก.ค.68) ร่วง 13.80 เหรียญ เหตุดอลลาร์แข็งค่า-ข้อมูลเศรษฐกิจแกร่ง

6. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (17 ก.ค.68) บวก 229.71 จุด นักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจ-ผลประกอบการแกร่ง

7. พยากรณ์อากาศวันนี้ (18 ก.ค.68) กรุงเทพปริมณฑล ฝนตกหนัก 70% ภาคเหนือ-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก 60% ภาคอีสาน 40% ภาคใต้ 30-40%

8. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (18 ก.ค.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 32.44 บาทต่อดอลลาร์

9. ตลาดหุ้นไทยเปิดวันนี้ (18 ก.ค.68) บวก 0.77 จุดทดัชนีอยู่ที่ 1,198.88 จุด

10. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.55บาท/ดอลลาร์

11. ทองเปิดตลาดวันนี้ (18 ก.ค. 68) "คงที่" ทองรูปพรรณ ขายออก 52,050 บาท

12. ประกาศ กปน.: 23 ก.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนกาญจนาภิเษก (ด้านตะวันตก)

13. ตลาดหุ้นปิด (17 ก.ค.68) บวก 40.48 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,198.11 จุด

14. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (17 ก.ค.68) บวก 33.38 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,191.01 จุด

15. MTS Gold คาดราคาทองคำยังคงเคลื่อนตัวอยู่ในกรอบแคบ Sideways มีแนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 3,320 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 3,355 เหรียญ

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ July 19, 2025, 10:56 am