ผ่านไปแล้วสำหรับเดือนพ.ย.2562 พบว่าตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) ปรับตัวลดลง 0.19% ต่างกับตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว (Developed Market) ที่ปรับตัวขึ้น 2.63% ส่วนหนึ่งถูกกดดันจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ที่ขายสุทธิตลาดหุ้นภูมิภาคเกือบทุกประเทศ เช่นเดียวกับกลุ่ม TIP คือ อินโดนีเซียถูกขายสุทธิ 493 ล้านดอลลาร์ ฟิลิปปินส์ 259 ล้านดอลลาร์ และไทยถูกขายสุทธิ 255 ล้านดอลลาร์ หรือ 7.7 พันล้านบาท กดดันให้ SET Index ลดลง 0.68%
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส หรือASP ระบุว่าในเดือนธ.ค.2562 นี้ ตลาดหุ้นไทยยังต้องเผชิญกับอีกหลากหลายความไม่แน่นอน ทั้งเรื่องสงครามทางการค้าจีนและสหรัฐฯ รวมถึงการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC รวมถึงการปรับพอร์ตเพื่อเตรียมเงินซื้อหุ้น Saudi Aramco ของกองทุนต่างประเทศ
ขณะที่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (29 พ.ย.) พบว่าต่างชาติเปิดชอร์ตสุทธิสัญญา SET50 Futures สูงถึง 50,247 สัญญา สูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ตั้งแต่ตลาดฟิวเจอร์เปิดทำการผ่านมาแล้ว 13 ปีครึ่ง รวมถึง OI ที่ปรับเพิ่มกว่า 3.4 หมื่นสัญญา ถือเป็นความเสี่ยงหนึ่งที่สำคัญ นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด
ความกังวลน่าจะลดลง ซึ่งหากดูจากสถิติในอดีต เมื่อต่างชาติชอร์ตสุทธิสัญญา SET50 Futures ในช่วง 3 วัน เกิน 3 หมื่นสัญญา พบว่า SET Index มีโอกาสฟื้นตัวหลังจากนั้น ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นการเปิดชอร์ตสุทธิ เพื่อป้องกันความเสี่ยงกรณีที่ตลาดมีโอกาสปรับฐาน
ดังนั้นความหวัง Flow ที่ช่วยพยุงตลาดในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ถูกฝากไว้กับแรงขับเคลื่อนจากเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้ามาซื้อ LTF ก่อนสิ้นปี ซึ่งในเดือนพ.ย. 2562 ที่ผ่านมา สถาบันซื้อสุทธิเพียง 2.5 พันล้านบาทเท่านั้น แต่จากสถิติย้อนหลัง 10 ปี พบว่าสถาบันซื้อสุทธิหุ้นไทยช่วง 2 เดือนสุดท้ายเฉลี่ยสูงถึง 2.08 หมื่นล้านบาท (ซื้อสุทธิ 9 ใน 10 ปี) ดังนั้นในปี 2562 นี้ นักลงทุนยังซื้อ LTF น้อยอยู่ จึงมีโอกาสที่จะเห็นแรงซื้อกระจุกตัวในเดือนธ.ค.62 มากขึ้น
ข่าวเด่น