หุ้นทอง
10 เรื่องต้องรู้ ก่อนเลือกลงทุนหุ้นเติบโต


สำหรับ “หุ้นเติบโต” แล้ว แม้จะมีความเสี่ยงขาลงสูง แต่โอกาสขาขึ้นก็มีสูงกว่ามาก อาจจะเป็นเท่าตัว หรือ หลายๆ เท่าตัวก็เป็นได้ ขณะเดียวกัน การมีหุ้นเติบโตไว้ในพอร์ตจะช่วยให้ผลตอบแทนไปได้ไกลมากกว่ามีหุ้นที่แข็งแกร่ง แต่โตช้า


ดังนั้นหากคุณสนใจลงทุนในหุ้นเติบโต มิสเตอร์ตลาดหลักทรัพย์ และคุณอธิป กีรติพิชญ์ ขอบอกว่า คุณต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า อะไรเป็นตัวผลักดันการเติบโตในอนาคต หรือ Future Growth Driver ของหุ้นตัวนั้น ที่จะช่วยให้กิจการเติบโตต่อไปได้
 

และเมื่อคุณลงทุนในหุ้นเติบโตแล้ว คุณควรตรวจสอบอยู่เสมอว่า หุ้นตัวนั้นยังสามารถเติบโตในระยะยาวได้จริง ดังนั้นก่อนคุณเลือกลงทุน มี 10 เรื่องที่คุณต้องรู้ก่อนเลือกลงทุนหุ้นเติบโต คือ

1.หุ้นเติบโต (Growth Stock) คือ หุ้นที่ทำธุรกิจอยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต ลองนึกถึง 10 ปีก่อน ช่วงที่การใช้งานโทรศัพท์มือถือกำลังแทนที่โทรศัพท์บ้านอย่างรวดเร็ว ช่วงที่ร้านสะดวกซื้อกำลังกินส่วนแบ่งตลาดแทนที่ร้านโชห่วยดั้งเดิมอย่างรวดเร็ว และช่วงที่พฤติกรรมของคนเมืองเปลี่ยนมาใช้งานรถไฟฟ้ามากขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นคือช่วงเติบโตของธุรกิจมือถือ ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจขนส่งทางราง จะดีแค่ไหนถ้าเราได้มีส่วนในความเป็น “เจ้าของกิจการ” ในช่วงเวลาที่หอมหวานอย่างนั้น
 
2.กิจการที่เข้าสู่ช่วง Growth จะมีรายได้และกำไรเติบโตเร็ว ปีละ 15% ขึ้นไปต่อเนื่องอีกหลายๆ ปี โดยการเติบโตนี้อาจมาจากตัวธุรกิจที่ได้รับความต้องการสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น (Demand Uptrend) หรืออาจจะเติบโตจากยอดขายและกำไรของธุรกิจเอง (Organic Growth) รวมถึงอาจเติบโตจากการควบรวมกิจการ (Non-Organic Growth) ก็เป็นได้
 
3.ลักษณะธุรกิจ เป็นธุรกิจที่อยู่ในช่วงขยายงานอย่างเห็นได้ชัด เช่น ธุรกิจค้าปลีกที่ยังมีแผนขยายสาขา ธุรกิจโรงพยาบาลที่ยังขยายสาขา เพิ่มจำนวนเตียงผู้ป่วย หรือธุรกิจรถไฟฟ้าและทางด่วนที่ยังขยายเส้นทาง รวมทั้งบางธุรกิจมีการทำ M&A ไล่ซื้อกิจการเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น ค่า P/E ของหุ้นเติบโตจึงมักจะสูงกว่าค่า P/E ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เสมอ
 
4.หน้าที่ของคุณ คือมองหากิจการที่ยังเติบโต ที่มีการเติบโตสูง คล้ายๆ กับมนุษย์เงินเดือนดาวรุ่งที่ได้โปรโมททุกปี เงินเดือนขึ้นทุกปีๆ ละประมาณ 15-20% นี่คือมงคลชีวิต กิจการก็เช่นกัน คุณต้องสะสมหุ้นของกิจการในลักษณะนั้นไว้ในพอร์ต รอเวลาที่การเติบโตจะแสดงออกมาทางงบการเงินอย่างต่อเนื่องหลายๆ ปี
 
5.อะไรคือตัวผลักดันให้กิจการยังเติบโตต่อไปได้อีกในอนาคต เราเรียกสิ่งนั้นว่า ตัวผลักดันการเติบโตในอนาคต หรือ Future Growth Driver อย่าลืมว่าธุรกิจจะเติบโตได้ มีกฏหลักสองข้อ คือ หนึ่ง ขายสินค้าเก่า ให้ลูกค้าใหม่ (New Market) และ สอง ขายสินค้าใหม่ ให้ลูกค้าเก่า (New Product) ถ้าไม่มีแผนทั้งคู่ก็เตรียมปิดร้าน กลับบ้านไปนอนได้เลย
 
6.ถ้าบริษัทใด ไม่คิดจะสร้างสินค้าใหม่ หรือ ไม่มีความคิดจะไปสู่ตลาดใหม่ แสดงว่าในไม่ช้ารายได้และกำไรจะไม่โตอีกต่อไป ดังนั้นบริษัทที่เคุณคิดจะลงทุน ต้องมีตัวผลักดันการเติบโตบางอย่าง เช่น ขยันออกสินค้าใหม่ ขยันสร้างสินค้าที่เป็นนวัตกรรม ขยายกำลังการผลิต เพิ่มช่องทางการขาย เปิดตลาดใหม่ หรือ บุกตลาดใหม่ที่ไม่เคยมีใครจับมาก่อน ฯลฯ
 
7.คุณควรต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า หุ้นที่กำลังจะลงทุนมี Future Growth Driver คืออะไร และควรที่จะหาข้อมูลจากบริษัทนั้นๆ โดยถามจากผู้บริหารในงาน Opportunity Day หรือ การประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อที่จะยืนยันข้อมูลการวิเคราะห์ที่คุณมี ว่ากิจการจะเติบโตต่อไป โดยที่คุณไม่ได้สร้างมโนภาพไปเอง
 
8.เคยมีคนในวงการลงทุน แชร์ไอเดียด้วยคำถามว่า ระหว่างหุ้นแข็งแกร่งมีความชัวร์ แต่เติบโตช้า กับ หุ้นเติบโตสูงมีความแกว่งผันผวน แต่เติบโตเร็ว คุณควรเลือกลงทุนกับหุ้นชนิดไหน
 
9.ความเห็นของคนในวงการคือ จงเลือก “หุ้นเติบโต” เพราะหุ้นแข็งแกร่ง ประเภทหุ้นสามัญประจำบ้าน ที่เติบโตช้า แม้ความเสี่ยงขาลงจะต่ำ เช่น -20% แต่โอกาสขาขึ้นก็ต่ำด้วย เช่น 20-30% ในขณะที่หุ้นเติบโตสูง จะเป็นหุ้นที่น่าลงทุนมากกว่า

แม้ว่าความเสี่ยงขาลงจะสูง ราคาอาจจะลดลงได้ 30-50% แต่โอกาสขาขึ้นมีสูงกว่ามาก ซึ่งอาจจะเป็นเท่าตัว หรือ หลายๆ เท่าตัวก็เป็นได้ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน อาจจะลองนึกถึงหุ้นเทคโนโลยี ที่เป็นหุ้นเติบโตสูงและมีความเหวี่ยงสูง ในตลาดหุ้นอเมริกาหรือตลาดหุ้นจีน ในช่วงสามปีที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร
 
10.พอร์ตที่ประกอบไปด้วยหุ้นเติบโตสูงหลายๆ ตัว แม้จะมีความผันผวนมากกว่าในระยะสั้น แต่ที่สุดแล้ว ในระยะยาว จะวิ่งได้ไกลกว่า พอร์ตที่เต็มไปด้วยหุ้นแข็งแกร่งแต่โตช้า นักลงทุนที่ลงทุนเน้นแนวหุ้นเติบโต ต้องทำความเข้าใจและมั่นคงในหลักการ พร้อมตรวจสอบหุ้นในพอร์ตอยู่เสมอว่า สามารถเติบโตในระยะยาวได้จริง
 
สำหรับใครที่สนใจอยากคัดกรอง “หุ้นดี และเติบโต” ด้วยตนเอง ลองเข้าไปที่เว็บไซต์ www.setsmart.com ซึ่งตอนนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดโอกาสให้ได้ทดลองใช้งาน SETSMART ฟรี 15 วัน เพียงแค่สมัครเป็นสมาชิก SET Member เท่านั้น

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 09 เม.ย. 2564 เวลา : 16:37:38
16-04-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ดัชนีดาวโจนส์ ปิดเมื่อคืน (11 เม.ย.67) ลบเล็กน้อย 2.43 จุด

2. ทองนิวยอร์ก ปิดเมื่อคืน (11 เม.ย.67) พุ่งขึ้น 24.30 เหรียญ หลังดัชนี PPI ต่ำกว่าคาดหนุนเฟดลดดอกเบี้ยเร็วสุด ก.ค.67

3. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 2,365 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,410 เหรียญ

4. ทั่วไทยอากาศร้อนถึงร้อนจัด มีฝนฟ้าคะนอง 10%

5. ทองเปิดตลาด (12 เม.ย.67) พุ่งพรวด 700 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 41,650 บาท

6. ตลาดหุ้นปิด (11 เม.ย.67) ลบ 11.79 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,396.38 จุด

7. ประกาศ กปน.: 18 เม.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำสำโรง

8. ตลาดหุ้นไทยปิดภาคเช้า (11 เม.ย.67) ลบ 4.71 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,403.46 จุด

9. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 2,330 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,365 เหรียญ

10. ทองเปิดตลาด (11 เม.ย.) ปรับขึ้น 150 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 41,100 บาท

11. ตลาดหุ้นไทยเปิด (11 เม.ย.67) ลบ 2.52 จุดดัชนีอยู่ที่ 1,405.65 จุด

12. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 36.60-36.80 บาท/ดอลลาร์

13. ดัชนีดาวโจนส์ ปิดเมื่อคืน (10 เม.ย.67) ร่วง 422.16 จุด เหตุดัชนี CPI สูงเกินคาด วิตกเฟดตรึงดอกเบี้ยสูงต่อ

14. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (11 เม.ย.67) อ่อนค่าลงหนัก ที่ระดับ 36.76 บาทต่อดอลลาร์

15. ภาคเหนือยังคงมีพายุฤดูร้อน ฝนฟ้าคะนอง 30% ลมกระโชกแรง ลูกเห็บตกบางแห่ง / ภาคตะวันออก-ภาคใต้ ฝั่ง ตอ. 20% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง 10%

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 16, 2024, 11:17 pm