เอสเอ็มอี
''จีน-อินเดีย-บาห์เรน'' ขุมทรัพย์ส่งออกเอสเอ็มอีไทย สู้โควิด-19 พื้นเศรษฐกิจไทย สร้างรายได้ระยะยาว


“จีน-อินเดีย-บาห์เรน” ตลาดศัยกภาพสูง โอกาสใหม่ของการส่งออกสินค้าไทย สร้างรายได้ในระยะยาว สสว.- ส.อ.ท. ร่วมกันจัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจเปิดประตูให้เอสเอ็มอีไทยเจาะตลาดการค้าในต่างประเทศ พร้อมจัดสัมมนา ให้คำปรึกษาปรับภาพลักษณ์สินค้าแก่ผู้ประกอบการ และทดลองแสดงสินค้าจริงในประเทศบาห์เรน



นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จึงได้ร่วมกันจัดโครงการพัฒนาศักยภาพและช่องทางการตลาดเชิงลึกสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี  เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าสู่ตลาดจีน อินเดีย และบาห์เรน โดยได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของตลาดทั้ง 3 ประเทศนี้ โดยมีเป้าหมายในการช่วยเหลือเสริมความแข็งแกร่งผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในยุค New Normal ด้วยหาช่องทางการเปิดตลาดใหม่ๆ ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ผ่านพ้นวิกฤตทางการค้า และส่งผลดีต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในระยะยาว รวมถึงสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ

ภายโครงการนี้ได้จัดกิจกรรมเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการแบบเข้มข้นใน 3 แนวทางเพื่อเพิ่มศักยภาพทางการตลาดระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 ได้แก่ การจัดสัมมนา-เวิร์คช็อป, กิจกรรมให้คำปรึกษาปรับปรุงภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์, กิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (ออนไลน์แมชชิ่ง) กับคู่ค้าในแต่ละประเทศ ได้แก่ กิจกรรมจับคู่ธุรกิจ ตลาดอินเดีย ตลาดจีน ส่วนตลาดบาร์เรน จะแบบเป็น 2 กิจกรรม คือ 1.เจรจาจับคู่ธุรกิจ และ2.การทดลองจัดแสดงสินค้าที่ห้าง Thai Mart ประเทศบาห์เรน (Mini Showcase) ซึ่งผู้ประกอบการจะได้ทดลองจำหน่ายสินค้าจริงในประเทศเป้าหมาย

การจัดโครงการฯ ในครั้งนี้ มีผู้ประกอบการเข้าร่วมทั้งหมดจำนวน 100 ราย แบ่งเป็นกลุ่มสินค้าประเภทต่างๆ ได้แก่  1. อาหาร-เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรแปรรูป 2. ของที่ระลึก 3. ผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม 4. อัญมณีและเครื่องประดับ โดยคาดการณ์จะมีมูลค่าการเจรจาจับคู่ธุรกิจที่จะเกิดขึ้นจากการจัดโครงการฯ ครั้งนี้ จำนวน 200 ล้านบาท

ทั้งนี้ สสว. และ ส.อ.ท. มีความเห็นตรงกันว่าตลาดประเทศจีน อินเดีย และบาห์เรน จะมีความสำคัญต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในอนาคต เนื่องจากประเทศจีนเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูงขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังเป็นประเทศที่มีการฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 ได้รวดเร็วที่สุด ทำให้ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าการเติบโตของจีดีพีของจีนจะสูงถึง 8.5% ต่อปีในปี 2564 ส่งผลให้ยอดการส่งออกของไทยไปจีนในรอบครึ่งปีแรก (มกราคม – มิถุนายน 2564) มีมูลค่ากว่า 600,000 ล้านบาท ขยายตัวสูงถึง 24.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 รวมทั้งยังมีโอกาสขยายการค้าได้อีกมากโดยเฉพาะในกลุ่มของผลไม้ พืชผัก ผลิตภัณฑ์ยางไปจนถึงเครื่องจักรต่าง ๆ

นอกจากนี้ การเปิดเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจากเมืองคุนหมิง ในภูมิภาคจีนตอนใต้ มาถึงเมืองเวียนจันทร์ สปป.ลาว ที่จะเปิดให้บริการในเดือนธันวาคมปีนี้ ก็จะเพิ่มยอดการส่งออกสินค้าจากไทยไปจีนได้อีกมาก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตร เนื่องจากเส้นทางรถไฟสายนี้ที่กรุงเวียงจันทน์ อยู่ใกล้กับชายแดนไทยจังหวัดหนองคาย จะช่วยย่นระยะเวลาการขนส่งไปจีนตอนใต้เหลือเพียง 1 วัน และลดค่าขนส่งได้มากกว่า 5 เท่าตัว ซึ่งจะเปิดโอการการส่งออกของเอสเอ็มอีไทยได้อีกมหาศาล

ในขณะที่ประเทศอินเดีย ก็เป็นตลาดที่มีอนาคตสูงของไทย เพราะมีประชากรกว่า 1,300ล้านคน และได้รับการคาดหมายว่าในปี 2050 จะกลายเป็นประเทศที่มี GDP สูงกว่า สหรัฐอเมริกา โดยในปัจจุบันอินเดียเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 10 ของไทย โดยยอดการส่งออกของไทยไปอินเดียในรอบครึ่งปีแรก (มกราคม – มิถุนายน 2564) มีมูลค่ากว่า 126,000 ล้านบาท ขยายตัวสูงถึง 54.8%

จากศักยภาพทางเศรษฐกิจของอินเดีย ทำให้ถูกมองว่าในอนาคตจะเป็นตลาดส่งออกใหม่ของไทยที่จะมีความสำคัญเทียบเท่าจีน เนื่องจากปัจุบันสินค้าส่งออกของไทยไปอินเดียยังมีปริมาณน้อย ยังเป็นตลาดที่ผู้ส่งออกไม่คุ้นเคยจึงมีโอกาสที่จะเจาะตลาดได้อีกมาก และอินเดียมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูงทำให้มีความต้องการสินค้าเพิ่มมากขึ้น แนวโน้มสินค้าส่งออกที่มีแววสดใสคือ อัญมณีและเครื่องประดับ เคมีภัณฑ์และอินทรีย์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก เครื่องสำอาง สบู่ ผลิตภัณฑ์รักษาผิว  และอุปกรณ์ทางการแพทย์

นอกจากนี้ อินเดียยังมีหลายรัฐทำให้มีความต้องการในการบริโภคที่หลากหลาย และยังเป็นประตูในการส่งออกสินค้าจากไทยไปสู่ประเทศข้างเคียง เช่น ศรีลังกา มัลดีฟส์ รวมทั้งไทยยังมีข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศอินเดีย ทำให้มีความได้เปรียบเหนือกว่าประเทศอื่น และที่สำคัญคนอินเดียมีทัศนคติที่ดีต่อสินค้าไทย สินค้าไทยถูกจัดเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูง และสามารถเข้าถึงได้

ส่วน ประเทศบาห์เรน เป็นตลาดที่สำคัญของไทยในภูมิภาคตะวันออกกลาง เพราะเป็นประเทศที่ประชาชนมีกำลังซื้อในระดับสูง เนื่องจากเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ประเทศหนึ่ง นอกจากนี้ไทยยังมีข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-บาห์เรน จึงทำให้สินค้าไทยเสียภาษีในระดับต่ำสร้างความได้เปรียบมากกว่าประเทศคู่แข่ง และทำให้ผู้ประกอบการชาวไทยสามารถเข้าไปทำตลาดได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่ม อาหาร สุขภาพ และความงาม ที่ถือได้ว่ามีความต้องการอยู่ในระดับสูง

รวมทั้งบาห์เรนยังสามารถเป็นประตูการค้าและการลงทุนให้ไทยไปตะวันออกกลาง โดยเฉพาะประเทศในคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council:GCC) ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย , สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ , กาตาร์ , คูเวต , โอมาน และบาห์เรน รวมถึงแอฟริกาตอนเหนือ เอเชียใต้ และเอเชียกลาง

นอกจากนี้ สสว. และ ส.อ.ท. ยังจะมีการจัดงาน “ไทยทำไทยช้อปไทยใช้” Made in Thailand ผ่านทางเว็บไซต์ Shopee.com ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม -15 กันยายน 2564 งานที่รวบรวมสินค้าจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกว่า 1,000 รายการ อาทิ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ และของตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องเขียนและอุปกรณ์การเรียน สิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม และของขวัญของที่ระลึก พร้อมแจกโค้ดส่วนลดร้านค้ากว่า 50,000 บาท ซึ่งทั้งหมดเป็นสินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand ทั้งสิ้น ผู้สนใจสามารถเลือกชม และซื้อสินค้าได้ที่ https://shopee.co.th/mitshopcampaign2021

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 26 ส.ค. 2564 เวลา : 13:06:50
25-04-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (24 เม.ย.67) บวก 3.64 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,361.10 จุด

2. ประกาศ กปน.: 27 เม.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำสำโรง

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (24 เม.ย.67) บวก 3.44 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,360.90 จุด

4. MTS Gold คาดว่าจะมีกรอบแนวรับที่ 2,260 เหรียญ และแนวต้านที่ 2,335 เหรียญ

5. ทองนิวยอร์ก ปิดเมื่อคืน (23 เม.ย.67) ร่วง 4.30 เหรียญ คลายความกังวลตะวันออกกลาง-จับตาเงินเฟ้อและGDPสหรัฐ

6. ดัชนีดาวโจนส์ ปิดเมื่อคืน (23 เม.ย.67) พุ่งขึ้น 263.71 จุด ขานรับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนแข็งแกร่งเกินคาด

7. ทั่วไทยมีฝนฟ้าคะนอง ภาคเหนือ 30% ภาคอีสาน-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก-ภาคใต้ ฝั่ง ตต. 20% ภาคใต้ ฝั่ง ตอ.10% กรุงเทพปริมณฑล ฝนเล็กน้อยบางแห่ง

8. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 36.80-37.05 บาท/ดอลลาร์

9. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (24 เม.ย.67) แข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 36.93 บาทต่อดอลลาร์

10. ทองเปิดตลาด (24 เม.ย. 67) ปรับขึ้น 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 40,950 บาท

11. ตลาดหุ้นไทยเปิด (24 เม.ย.67) บวก 7.26 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,364.72 จุด

12. ประกาศ กปน.: 25 เม.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนกาญจนาภิเษก (ด้านตะวันตก)

13. ประกาศ กปน.: 25 เม.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนประชาร่วมใจ

14. ตลาดหุ้นปิด (23 เม.ย.67) บวก 7.94 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,357.46 จุด

15. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (23 เม.ย.67) บวก 11.57 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,361.09 จุด

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 25, 2024, 12:55 am