เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
เลือกลงทุนหุ้นไทยหรือไปเลือกลงทุนหุ้นไทยหรือไปต่างประเทศ


ผลกระทบจากสงครามที่ยืดเยื้อระหว่างรัสเซียกับยูเครน การใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวเพิ่มขึ้น และการควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 ของจีน ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง และสร้างแรงกดดันเชิงลบต่อตลาดหุ้นไทย ซึ่งบรรยากาศอึมครึมแบบนี้ ทำให้นักลงทุนตั้งคำถามกับตัวเองว่าควรลงทุนหุ้นไทยหรือไปต่างประเทศ

 
หากพิจารณาตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาที่กำลังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยการแพร่ระบาด COVID-19 ในจีน ซึ่งนำไปสู่การล็อกดาวน์บางพื้นที่ เช่น เซี่ยงไฮ้ และการปิดกั้นพื้นที่บางส่วนของกรุงปักกิ่ง ขณะที่สงครามรัสเซียกับยูเครนยังยืดเยื้อและมีโอกาสทวีความรุนแรงขึ้น  
 
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ และหัวหน้าสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส บอกว่า หากสงครามยืดเยื้อกว่าที่คาด อาจส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ เพราะสินค้าส่งออกสำคัญของรัสเซีย คือทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำสำหรับหลายอุตสาหกรรม ผลที่ตามมาคือ ทำให้เกิดเงินเฟ้อและการค้าระหว่างประเทศชะลอตัว ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงด้วยเช่นกัน
 
เมื่ออัตราเงินเฟ้อปรับขึ้นและอยู่ระดับสูงเป็นเวลายาวนานจะทำให้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศมีการใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวมากขึ้น เช่น ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีที่ระดับ 0.25% และปรับขึ้นอีก 0.5% ในเดือนพฤษภาคมนี้ รวมถึงประเทศที่พัฒนาแล้วก็จะใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวตามสหรัฐอเมริกาด้วย
 
สำหรับเอเชีย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวประมาณ 4.9% ในปี 2565 เนื่องจากมีแนวโน้มเผชิญปัญหาภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น (Stagflation) รวมถึงผลกระทบจากสงครามรัสเซียกับยูเครน การปรับขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
 
ขณะที่ประเทศไทย ประเมินว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามสหรัฐฯ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับขึ้น แต่เศรษฐกิจยังต้องการแรงหนุนจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ไตรมาส 4 ปี 2564 ยังต่ำกว่าไตรมาส 4 ปี 2562 หรือก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ถึง 2.8% รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง จึงคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ต่อไปตลอดปีนี้
 
หุ้นไทยหรือไปต่างประเทศ
ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่บอกว่าตลาดหุ้นน่าสนใจ คือ ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของตลาดหุ้น (Earning Yield) กับผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล (Government Bond Yield) หรือเรียกว่า Earning Yield Gap โดย Earning Yield Gap เกิดจากการนำผลตอบแทนของตลาดหุ้น (กำไรต่อหุ้นของตลาดหารด้วยดัชนีหุ้น) ลบด้วยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) อายุ 1 ปี
 
ปัจจุบัน Earning Yield Gap ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 4% ดังนั้น หาก Fed รวมถึงธนาคารกลางของประเทศพัฒนาแล้ว ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะทำให้ Earning Yield Gap แคบลง ขณะเดียวกันหากมองตลาดหุ้นไทย ประเมินว่ายังมีความได้เปรียบจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำไปอีกสักระยะ
 
หากเปรียบเทียบกับ Forward Earning Yield Gap ของหุ้นโลก ภายใต้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ที่อาจจะมีการปรับขึ้นอีก 5 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย พบว่า Forward Earning Yield Gap ของหุ้นไทยกว้างขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ประมาณ 4.7% สูงกว่าตลาดหุ้นโลก (MSCI World) ที่แคบลงมาอยู่ที่ 3.5% ถือเป็นอีกหนึ่งความน่าสนใจที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ โดยตลาดหุ้นไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ สะท้อนได้จากในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2565 ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยสูงสุดในภูมิภาคประมาณ 1.1 แสนล้านบาท
 
ความน่าสนใจของหุ้นไทยที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้รวบรวมข้อมูลกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนปี 2564 ที่เปิดเผยทั้งหมด 650 บริษัท มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 1.04 ล้านล้านบาท สูงกว่า 21.3% เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนเกิดการแพร่ระบาด Covid-19 อยู่ที่ประมาณ 862,000 ล้านบาท
 
โดยฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ได้ทำการแจกแจงกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนออกเป็นส่วน ๆ พบว่ากำไรปี 2564 ที่เพิ่มขึ้นมาจากบริษัทจดทะเบียนใหม่ในปี 2563 – 2564 ทั้งหมด 38 บริษัท ซึ่งมีกำไรสุทธิรวมปี 2564 ประมาณ 58,000 ล้านบาท โดยถ้าหักส่วนนี้ออก กำไรสุทธิรวมของบริษัทจดทะเบียนปี 2564 จะเหลือ 930,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1% เมื่อเทียบกับปี 2562
 
นอกจากนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าบริษัทจดทะเบียนที่กำไรเติบโตแรง ๆ หรือมีกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่า 5,000 ล้านบาท ในช่วงที่เกิด COVID-19 ส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มีเกราะป้องกันหรือบริษัทที่ฟื้นตัวตามภาพรวมเศรษฐกิจโลก ซึ่งราคาหุ้นมักจะตอบสนองในเชิงบวกและปรับตัวขึ้นอย่างน่าประทับใจ
 
จากสถานการณ์ดังกล่าว ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยยังมีความได้เปรียบ อีกทั้งสัดส่วนการค้าระหว่างไทยกับรัสเซียมีไม่ถึง 1% จึงได้รับผลกระทบจำกัด ประกอบกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยฟื้นตัว และเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่องหนุนให้หุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ
 
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 13 พ.ค. 2565 เวลา : 10:55:16
26-04-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (26 เม.ย.67) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 37.06 บาทต่อดอลลาร์

2. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 36.90-37.15 บาท/ดอลลาร์

3. ทองปิดบวก $4.10 รับดอลล์อ่อน-แรงซื้อลดความเสี่ยง

4. ตลาดหุ้นไทยเปิด (26 เม.ย.67) บวก 0.68 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,364.95 จุด

5. ดาวโจนส์ปิดร่วง 375.12 จุดหลัง GDP สหรัฐชะลอตัว - เงินเฟ้อพุ่ง

6. ทองพุ่ง! ราคาทองวันนี้ 26/4/67 ครั้งที่ 1 เพิ่มขึ้น 100 บาท ทองคำแท่งขายออกบาทละ 40,850 บาท

7. ทั่วไทยอากาศร้อนถึงร้อนจัด อุณหภูมิสูงสุด 43 องศาเซลเซียส ฟ้าหลัว ฝนฟ้าคะนองบางแห่ง และลมกระโชกแรงตลอดช่วง

8. ตลาดหุ้นปิด (25 เม.ย.67) บวก 3.17 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,364.27 จุด

9. ประกาศ กปน.: 29 เม.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนบ้านบางไผ่-บ้านหนองเพรางาย

10. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (25 เม.ย.67) บวก 1.72 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,362.82 จุด

11. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำยังคงทรงตัวในกรอบเช่นเดิมระหว่าง 2,290-2,330 เหรียญ

12. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (24 เม.ย.67) ลบ 42.77 จุด บอนด์ยีลด์พุ่งฉุดตลาด บดบังผลประกอบการ บจ.แกร่ง

13. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (24 เม.ย.67) ร่วง 3.70 เหรียญ นักลงทุนคลายกังวลความตึงเครียดในตะวันออกกลาง

14. ประเทศไทยอากาศร้อนถึงร้อนจัด และมีฝนฟ้าคะนองในภาคเหนือ-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก-ภาคใต้ ฝั่งตต. 20% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคอีสาน-ภาคใต้ ฝั่ง ตอ. 10%

15. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 37.00-37.25 บาท/ดอลลาร์

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 26, 2024, 11:34 am