กองทุนรวม
บลจ.อีสท์สปริง มองหุ้นกลุ่มสินค้า Luxury ฟื้นตัว ชูกองทุน T-Premium Brand รับแรงหนุนกำลังซื้อจากจีน


นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง เปิดเผยว่า หลังจากที่ในช่วงต้นปี 2566 จีนได้เปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการโควิดเป็นศูนย์ ส่งผลให้กำลังซื้อของคนจีนกับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มของสินค้าประเภทสินค้าฟุ่มเฟือย (Luxury) ซึ่งจากการเปิดเผยข้อมูลของ Bain & Company บริษัทที่ปรึกษาระดับโลกในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คาดการณ์การบริโภคกลุ่มสินค้ากลุ่ม Personal Luxury จะกลับมาฟื้นตัวได้ในปี 2566 เนื่องจากห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลอดภาษี (Duty Free) เริ่มกลับมาเปิดอีกครั้ง ขณะที่พื้นฐานการบริโภคของคนจีนไม่เปลี่ยนแปลง และจีนยังคงเป็นประเทศที่เติบโตเร็ว มีประชากรรายได้ปานกลาง-สูงจำนวนมากขึ้น และคาดว่าจำนวนประชากรเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในปี 2573 และคาดว่าการบริโภคกลุ่มสินค้าเหล่านี้จะกลับมาฟื้นตัวได้เทียบเท่าระดับเดียวกันกับช่วงก่อนเกิดโควิดในช่วงกลางปี 2566 นี้

บลจ.อีสท์สปริง ประเมินว่ากลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Luxury) ค่อนข้างมีความน่าสนใจนอกเหนือจากความต้องการของคนจีนจากการเปิดประเทศแล้ว กลุ่มสินค้ากลุ่มนี้เน้นการสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีความสามารถในการกำหนดราคา รวมถึงทนทานต่อภาวะเงินเฟ้อได้ดี ซึ่งหากดูจากผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมาของ MSCI World Index ในกลุ่มของ Consumer discretionary ซึ่งเป็นกลุ่มของสินค้าฟุ่มเฟือย จะพบว่าทั้งยอดขายเติบโต11.69% และกำไรเติบโต 22.27% ซึ่งถือว่าค่อนข้างเติบโตได้โดดเด่น เมื่อเทียบกับ การเติบโตของบริษัทใน ishare MSCI World Index ที่ยอดขายเติบโตเพียง 7.71% และกำไรลดลง 0.78% (ที่มา Bloomberg : ณ วันที่ 3 มีนาคม 2566)

ทั้งนี้คาดการณ์การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ของ MSCI World Index คาดว่าในปี 2567 เติบโต 8.37% และปี 2568 เติบโต 6.95% ขณะที่ในส่วนของ MSCI Consumer discretionary Index ในปี 2567 คาดว่าจะเติบโต 16.85% และ 2568 เติบโต 14.57% ซึ่งสูงกว่า 2 เท่าของ MSCI World Index (ที่มา Bloomberg : ณ วันที่ 3 มีนาคม 2566)

นางสาวดารบุษป์ กล่าวว่า ปัจจุบันบลจ.อีสท์สปริงมีกองทุนภายใต้บริหารจัดการคือ กองทุนเปิดธนชาตพรีเมียมแบรนดส์ฟันด์ (T-PREMIUM BRAND) ที่มีนโยบายลงทุนในกองทุนหลัก PICTET FUNDS (LUX ) - PREMIUM BRANDS ไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ โดยกองทุนหลักจะเน้นลงทุนในตราสารทุนเกี่ยวกับสินค้าบริการระดับพรีเมียม บริหารจัดการโดย Pictet Funds (Europe) S.A มีความเชี่ยวชาญในการลงทุนแบบ Thematic มากกว่า 26 ปี มีรูปแบบการลงทุนกว่า 15 ธีม โดยกองทุนหลักมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวสูงกว่าดัชนี MSCI World Consumer Discretionary Index-ND ซึ่งกองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Premium Brands ในหมวดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Luxury brands อาทิ LVMH และ Hermes, Sport Apparel อย่าง NIKE และ Adidas, เครื่องสำอาง เช่น L’Oreal , การท่องเที่ยว เช่น Marriott International และ Hilton Worldwide

ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนของกองทุนหลัก PICTET FUNDS (LUX) - PREMIUM BRANDS ประมาณ 90% ลงทุนในหมวดแบรนด์หรู 36.98% กีฬา 16.22% อาหารและเครื่องดื่ม 13.26% เครื่องสำอาง 12.27% การท่องเที่ยว 11.54% ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกา 44.84% ฝรั่งเศส 22.6% อิตาลี 10.03% ขณะที่สัดส่วนการลงทุน 10 อันดับแรกประกอบด้วย American Express Co 4.95% Cie Financiere Richemont-Reg 4.70% Nike Inc-CI B 4.69% L’Oreal 4.64% Ferrari Nv 4.62% Lvmh Moet Hennessy Louis Vui 4.61% Visa Inc-Class A Shares 4.45% Marriott International -Cl A 4.02% Hilton Worldwide Holdings In 3.85% และ Intercontinental Hotels Group 3.67% (ที่มา Pictet ณ วันที่ 31 มกราคม 2566)

“กองทุนกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยเริ่มกลับมาน่าสนใจในปีนี้ ซึ่งกองทุน T-Premium Brand ถือเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่ตอบโจทย์การฟื้นตัวของสินค้าฟุ่มเฟือย รวมถึงความสามารถในการตั้งราคาได้ดีทำให้สามารถรับมือจากเงินเฟ้อได้ สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหากองทุนที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย กองทุนนี้ถือว่าเป็นกองทุนทีมีความน่าสนใจและได้ประโยชน์จากความต้องการของคนจีนที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดประเทศ” นางสาวดารบุษป์ กล่าว

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.eastspring.co.th หรือโทร 1725 ในวันและเวลาทำการ หรือผ่านช่องทางการขายของบริษัทฯ หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง และผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนการตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต โดยกองทุนมีความเสี่ยงที่สำคัญ เช่น ความเสี่ยงจากการลงทุนในต่างประเทศ และความเสี่ยงจากสภาพคล่อง

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 08 มี.ค. 2566 เวลา : 14:38:41
13-05-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (13 พ.ค.68) บวก 8.82 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,219.76 จุด

2. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (12 พ.ค.68) พุ่ง 1,160.72 จุด รับสหรัฐ-จีน บรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราว

3. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (12 พ.ค.68) ร่วง 116 เหรียญ นักลงทุนแห่เทขายหลังสหรัฐ-จีน บรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราว

4. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.30-33.60 บาท/ดอลลาร์

5. ทั่วไทยฝนฟ้าคะนอง "ภาคตะวันออก" ฝนตกหนัก 80% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคใต้ 70% ภาคอีสาน 60% ภาคเหนือ 40%

6. ทองเปิดตลาดวันนี้ (13 พ.ค. 68) ปรับขึ้น 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 51,900 บาท

7. ตลาดหุ้นไทยเปิดวันนี้ (13 พ.ค.68) บวก 15.99 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,226.93 จุด

8. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (13 พ.ค.68) อ่อนค่าลงหนัก ที่ระดับ 33.38 บาทต่อดอลลาร์

9. อุตุฯ เตือนทั่วไทยมีพายุฤดูร้อน ฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ลูกเห็บตก "ภาคตะวันออก" ฝนตกหนัก 80% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคเหนือ-ภาคกลาง-ภาคใต้ 70% ภาคอีสาน 40%

10. ทองเปิดตลาดวันนี้ (12 พ.ค. 68) ร่วงลง 650 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 52,100 บาท

11. ประกาศ กปน.: ด่วนมาก!!! คืนวันนี้ 10 พ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนพระรามที่ 4 ตัดถนนรัชดาภิเษก

12. ตลาดหุ้นปิด (9 พ.ค.68) บวก 4.35 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,210.94 จุด

13. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 3,250 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 3,340 เหรียญ

14. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (9 พ.ค.68) ลบ 5.67 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,200.92 จุด

15. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (8 พ.ค.68) ร่วง 85.90 เหรียญ หลังสหรัฐ-อังกฤษ บรรลุข้อตกลงการค้า

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ May 13, 2025, 3:10 pm