เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
วิจัยกรุงศรีวิเคราะห์ เศรษฐกิจโลก สหรัฐและยุโรปมีแนวโน้มยุติการปรับขึ้นดอกเบี้ยหลังเศรษฐกิจเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น ด้านจีนเตรียมช่วยภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะวิกฤต


สหรัฐ
 
แม้เฟดยังคงส่งสัญญาณ "higher for longer" แต่แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจตัดโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยต่อ ในเดือนตุลาคม ยอดขายบ้านมือสองลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 13 ปีที่ 3.79 ล้านหลัง ขณะที่ในเดือนพฤศจิกายน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคทำจุดต่ำสุดในรอบ 6 เดือนอยู่ที่ 61.3 นอกจากนี้ ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและการบริการทรงตัวที่ระดับ 50.7 โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตปรับตัวลงสู่ระดับ 49.4 ต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการแม้ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.8 ทำจุดสูงสุดในรอบ 4 เดือน แต่องค์ประกอบด้านการจ้างงานหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 นอกจากนี้ Leading Economic Indicators ยังส่งสัญญาณความเสี่ยงต่อภาวะถดถอย

แม้ว่ารายงานการประชุมเฟด (FOMC minutes) ยังคงบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการคุมเข้มนโยบายการเงินพร้อมกับเปิดโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม แต่จากภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐและเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในระยะข้างหน้า ประกอบกับสถานการณ์สงครามที่คาดว่าจะจำกัดวงอยู่ในฉนวนกาซาหลังกองทัพอิสราเอลประกาศพักรบเพื่อทำข้อตกลงแลกตัวประกัน วิจัยกรุงศรีประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.25-5.50% จนถึงกลางปี 2567 ก่อนเริ่มปรับลดในช่วงต้นไตรมาส 3/2567 เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยแรง

 
 
ยูโรโซน
 
เศรษฐกิจยูโรโซนยังขาดปัจจัยขับเคลื่อนในการเติบโต ขณะที่การชะลอตัวของเงินเฟ้อและเศรษฐกิจเปิดทาง ECB ปรับลดอัตราดอกเบี้ยภายในกลางปีหน้า ในเดือนพฤศจิกายน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ที่ -16.9 ขยับดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่ -17.8 ขณะที่ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและการบริการอยู่ที่ 47.1 หดตัวเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตอยู่ที่ 43.8 ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการอยู่ที่ 48.2 ล่าสุดธนาคารกลางยุโรป (ECB) เตือนภาวะตึงตัวในภาคธนาคาร (Early signs of stress) เนื่องจากการผิดนัดชำระหนี้เงินกู้เพิ่มขึ้น หรือคุณภาพสินทรัพย์กำลังแย่ลง

ตัวเลขเศรษฐกิจที่หดตัวสะท้อนความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะถดถอยที่สูงขึ้นในไตรมาส 4 และภาพรวมมีแนวโน้มอ่อนแอต่อเนื่องจากผลของดอกเบี้ยสูงที่จะเข้ามากระทบเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นจนถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2567 แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อยูโรโซนในปัจจุบันจะยังสูงกว่าเป้าหมายที่ 2% แต่จากแนวโน้มแรงกดดันเงินเฟ้อที่คาดว่าจะชะลอลงต่อในระยะข้างหน้ารวมถึงเศรษฐกิจภาคการเงินที่มีความเปราะบางสูงขึ้น วิจัยกรุงศรีคาดว่า ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.00% ก่อนเริ่มทยอยปรับลดในกลางปีหน้าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้รอดพ้นจากภาวะถดถอย
 

 
จีน
 
จีนปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อบรรเทาวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยช่วยกระตุ้นทั้งด้านอุปทานและด้านอุปสงค์ สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่าทางการจีนหนุนให้ธนาคารพาณิชย์อัดฉีดเงินราว 4.46 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อบรรเทาปัญหาหนี้และการขาดสภาพคล่องของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่จำนวนมาก ซึ่งทำให้ไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยและส่งมอบให้ผู้ซื้อได้ กดดันความเชื่อมั่นต่อเนื่อง ขณะนี้รัฐบาลกำลังทำรายชื่อบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำนวน 50 รายที่มีสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือนี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทรายใหญ่อย่าง Country Garden Holdings Co. และ Sino-Ocean Group 

มาตรการเสริมสภาพคล่องดังกล่าวนับเป็นการปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งสำคัญของจีนที่หันมาให้ความสำคัญด้านอุปทาน (Supply) หรือกระตุ้นให้เกิดการก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่ยังไม่เสร็จจำนวนมาก โดยก่อนหน้านี้ จีนได้ออกมาตรการต่างๆเพื่อกระตุ้นด้านอุปสงค์ (Demand) หรือการซื้อที่อยู่อาศัย ทั้งการลดดอกเบี้ยผ่อนบ้าน ลดเงินดาวน์ และการให้ส่วนลดภาษี แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเพราะผู้ซื้อยังกังวลเรื่องการส่งมอบบ้าน ล่าสุด เทศบาลนครเซินเจิ้นประกาศลดข้อกำหนดการจ่ายเงินดาวน์สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังที่ 2 หลังจากเมืองกว่างโจวได้ใช้แบบเดียวกันในช่วงต้นปี ทั้งนี้ แม้จีนหันมากระตุ้นทั้งด้านอุปทานและด้านอุปสงค์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่คาดว่ายังต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเห็นความคืบหน้าและเรียกคืนความเชื่อมั่น อีกทั้งยังต้องระวังผลข้างเคียงต่อภาคธนาคารซึ่งอาจต้องแบกรับความเสี่ยงจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ 

 
เศรษฐกิจไทย
ภาคท่องเที่ยวอาจถูกฉุดรั้งจากการฟื้นตัวช้าของนักท่องเที่ยวจีน ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐยังจำกัดในช่วงรอการจัดทำพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2567

นักท่องเที่ยวจีนมาไทยยังฟื้นตัวช้า ฉุดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งปีต่ำกว่าคาด จากข้อมูลเบื้องต้นในช่วงตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 19 พฤศจิกายน มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยรวมทั้งสิ้นแล้ว 23.85 ล้านคน (คิดเป็น 66% ของช่วงก่อนเกิดการระบาดโควิด) สร้างรายได้เข้าประเทศ 1.01 ล้านล้านบาท (60% ของช่วงก่อนเกิดการระบาดโควิด)  โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย 3.90 ล้านคน จีน 2.98 ล้านคน เกาหลีใต้ 1.41 ล้านคน อินเดีย 1.39 ล้านคน และรัสเซีย 1.21 ล้านคน 

ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนเฉลี่ยต่อเดือนราว 2.8 แสนคน เทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ซึ่งเฉลี่ยต่อเดือนสูงกว่า 9 แสนคน ขณะที่มาตรการยกเว้นการทำวีซ่า(Visa-Free Scheme) แก่นักท่องเที่ยวจีนที่เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ล่าสุดในเดือนพฤศจิกายนมาตรการดังกล่าวยังไม่ส่งผลบวกอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเฉลี่ยต่อวันประมาณเพียง 10,000 คน จากในช่วงโกลเด้นท์วีคที่เข้ามาสูงสุดถึงวันละ 17,000-18,000  คน จำนวนนักท่องเที่ยวจีนรวมในปีนี้จึงคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.4-3.5 ล้านคนเท่านั้น (ทางการตั้งเป้าไว้ที่ 4-4.4 ล้านคน) ทั้งนี้ จากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนที่ต่ำกว่าคาด วิจัยกรุงศรีจึงปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมในปีนี้ลดลงเหลือ 27.7 ล้านคน จากเดิมคาด 28.5 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ในช่วงไฮซีซั่นหรือช่วงฤดูหนาว (พฤศจิกายน 2566– กุมภาพันธ์ 2567) ยังพอมีสัญญาณเชิงบวกจากจำนวนเที่ยวบินจากหลายๆ ประเทศที่มาไทยเกือบกลับเข้าสู่ระดับช่วงเดียวกันในปี 2562 อาทิ มาเลเซีย (98.5%) สิงคโปร์ (93.5%) เกาหลีใต้ (87.7%) และอินเดีย (82.1%) ขณะที่เที่ยวบินจากจีนมาไทยยังต่ำอยู่ที่เพียง 41% ของช่วงก่อนเกิดโควิด-19

 
การใช้จ่ายภาครัฐในไตรมาสสุดท้ายต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกปีหน้าอาจเป็นไปอย่างจำกัด จากการจัดทำพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ล่าช้า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 21 พฤศจิกายน เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% จากงบประมาณปี 2566 โดยจำแนกเป็น (i) รายจ่ายประจำ 2.54 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 72.9% ของงบประมาณ) (ii) รายจ่ายลงทุน 715,381 ล้านบาท สัดส่วน 20.6% (iii) รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 118,361 ล้านบาท สัดส่วน 3.4% และ (iv) รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 118,320 ล้านบาท สัดส่วน 3.4% ทั้งนี้ จัดทำงบประมาณขาดดุลวงเงิน 693,000 ล้านบาท ลดลงจากปีงบฯก่อน 0.3% และจัดสรรงบกลางไว้ที่ 603,265 ล้านบาท 

กระบวนการจัดทำร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่ล่าช้าออกไปจากปกติซึ่งจะเริ่มสามารถเบิกจ่ายได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 จึงอาจทำให้การใช้จ่ายภาครัฐในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้และต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2567 เป็นไปอย่างจำกัด หากเทียบกับการเลือกตั้งปี 2562 Contribution to GDP growth ของการใช้จ่ายงบลงทุนใน 4Q2562 และ 1Q2563 ติดลบ 5.7% และ 9.5% ตามลำดับอย่างไรก็ตาม คาดว่าเมื่อพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 มีผลบังคับใช้ราวในช่วงไตรมาส 2/2567 จะส่งผลให้การเบิกจ่ายของภาครัฐมีแนวโน้มกลับมาเร่งตัวขึ้นซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินนโยบายของภาครัฐและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมในปีหน้า


 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 28 พ.ย. 2566 เวลา : 13:09:07
12-05-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ประกาศ กปน.: ด่วนมาก!!! คืนวันนี้ 10 พ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนพระรามที่ 4 ตัดถนนรัชดาภิเษก

2. ตลาดหุ้นปิด (9 พ.ค.68) บวก 4.35 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,210.94 จุด

3. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 3,250 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 3,340 เหรียญ

4. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (9 พ.ค.68) ลบ 5.67 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,200.92 จุด

5. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (8 พ.ค.68) ร่วง 85.90 เหรียญ หลังสหรัฐ-อังกฤษ บรรลุข้อตกลงการค้า

6. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (8 พ.ค.68) พุ่ง 254.48 จุด ขานรับ "สหรัฐ-อังกฤษ" บรรลุข้อตกลงการค้า

7. อุตุฯเตือนระวัง "พายุฤดูร้อน" วันนี้ "ภาคอีสาน-ภาคตะวันออก" ฝนฟ้าคะนอง 40% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคเหนือ-ภาคกลาง 30% ภาคใต้ 30-40%

8. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.00-33.30 บาท/ดอลลาร์

9. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (9 พ.ค.68) อ่อนค่าลง ที่ระดับ 33.02 บาทต่อดอลลาร์

10. ทองเปิดตลาดวันนี้ (9 พ.ค. 68) ร่วงลง 350 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 52,450 บาท

11. ตลาดหุ้นไทยเปิดวันนี้ (9 พ.ค.68) บวก 6.28 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,212.87 จุด

12. ประกาศ กปน.: 13 พ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนสุขสวัสดิ์ ถนนกาญจนาภิเษก (ด้านใต้) และถนนอนามัยงามเจริญ

13. ตลาดหุ้นปิดวันนี้ (8 พ.ค.68) ลบ 13.68 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,206.59 จุด

14. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (8 พ.ค.68) ลบ 7.43 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,212.84 จุด

15. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (7 พ.ค.68) ร่วง 30.90 เหรียญ รับสงครามการค้าส่งสัญญาณคลี่คลาย

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ May 12, 2025, 1:57 am