ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
บล.เมย์แบงก์กิมเอ็งแนะ ถือพอร์ต 55% เงินสด 45% รอจังหวะขายทำกำไรสัปดาห์หน้า


บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง มองการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันนี้ Black Friday
 

ประเด็นสำคัญวันนี้ จากเมื่อวานตลาดหุ้นไทยปรับฐานลงและหลุดแนว 1160 จุด ลงมาปิดที่ 1159.05  จุด ลบ 14.19 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายเพียง 22,632 ล้านบาท โดย Prop Trade ขายสุทธิ 408 ล้านบาท หลังผิดหวังการประชุมเฟดไม่มีการออก QE#3 ตามที่คาดหวัง  กระแสเงินทุนต่างชาติชะลอตัวชัดเจน แม้ว่าจะกลับมาขายสุทธิในตลาดหุ้นอีกครั้ง แต่ก็เพียง 742 ล้านบาท แต่ยังคง Long สุทธิใน SET50 Futures เป็นวันที่ 3 อีก 253 สัญญา และซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 17 อีก 952 ล้านบาท
        

MBKET คาด SET INDEX จะปรับฐานลงทดสอบแนวรับ 1145/50 จุด ซึ่งอาจหลุดแนวดังกล่าวระหว่างชั่วโมงการซื้อขายได้เช่นกัน ด้วยภาวะการลงทุนที่เป็น Bearish ในวันนี้ จากตัวเลขเศรษฐกิจจีน – สหรัฐฯ ที่ออกมาส่งสัญญาณเสี่ยงมากขึ้น ราคาน้ำมันดิบ NYMEX หลุดแนว US$80/barrel น้ำมันดิบ Brent หลุด US$90/barrel กดดันกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีต่อเนื่อง รวมถึง Moody’s ลดอันดับความน่าเชื่อถืออง 15 ธนาคารชั้นนำของโลก 
         

แม้ว่ากระแสเงินทุนต่างชาติต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะไม่ชัดเจน แต่แรงขายสุทธิในตลาดหุ้นชะลอตัว พร้อมทยอยปิดสถานะ Short ใน SET50 Futures ย่อมเป็นสัญญาณบวกเช่นกัน 
         

ดังนั้นในภาพรวม MBKET แนะนำให้ “ถือพอร์ต 55% และเงินสด 45%” ทั้งนี้เพื่อรอจังหวะขายทำกำไรในสัปดาห์หน้าต่อกรณี Window Dressing และการประชุมผู้นำอียู
         

ปัจจัยสำคัญวันนี้: การประชุมรมว.คลัง อียู วันสุดท้าย 
         

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: MBKET แนะนำ “ถือพอร์ต 55% และเงินสด 45%” และ “สะสม” DEMCO / KK
         

กลยุทธ์ทางเลือกวันนี้: MBKET แนะนำ “พอร์ตว่างเน้นจังหวะ Trading รอเปิด Long ช่วงย่อ เพื่อรอทำกำไรช่วงฟื้นตัวระหว่างวันกลับมาที่แนวต้าน 805-810 จุด” Stop loss <785 จุด หลุด ปิด Long เปิด Short แทน

Portfolio           
          HOLD: VNT/ KSL/ TTCL/CPF/ AP/ PS/ SMIT/UMI/ SAT / AMATA/ TUF/ TVO/MAJOR/ BAY/ TCAP/ CPN/ BWG/ QH/ KK/ PTTGC/ BANPU/ PTT/ IVL/ SPCG/ DEMCO
          Accumulative Buy: DEMCO / KK

Technical View         
          แนวรับ 1150-1155 จุด, 1130-1135 จุด และ 1115 +/-  จุด แนวต้าน 1165+/- จุด การหลุดต่ำกว่า 1150-1155 จุด จะเป็นสัญญาณลบในภาพใหญ่ที่ต้องระวัง เพราะจะมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเกิดการพักฐานลงได้อีก

Action and Stock of the Day

SET INDEX วานนี้ปรับตัวลงแรงทดสอบ 1160 จุด
         

ตลาดหุ้นรอบเอเชียวานนี้ปรับฐานลงเกือบ 1.0% โดยเฉลี่ย หลัง HSBC รายงานตัวเลขเศรษฐกิจจีนออกมาต่ำกว่าคาด รวมถึงการผิดหวังจากการประชุมเฟดคืนก่อนหน้า ยกเว้นตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ปิดบวก 0.82% หลังได้สมาชิกบอร์ดใหม่ของ BoJ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
         

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับฐานลงและหลุดแนว 1160 จุดในรอบบ่าย ตามบรรยากาศการลงทุนรอบเอเชียและยุโรป ที่ตอบรับกับความผิดหวังในการประชุมเฟดคืนวันก่อนหน้า อีกทั้งทิศทางค่าเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ รวมถึง Prop Trade ได้สะสมหุ้นไปก่อนหน้านี้ เพื่อเก็งกำไรต่อการประชุมเฟด ทำให้เกิดแรงขายหุ้นเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ปิดตลาด SET INDEX ลบทั้งสิ้น 14.19 จุด หรือ 1.21% มาอยู่ที่ 1159.05 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายเพียง 22,632 ล้านบาท
         

กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนโดดเด่นวานนี้ได้แก่ กลุ่ม Person +0.74%, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง +0.09%  และกลุ่มขนส่ง +0.01% ส่วนกลุ่มหลักอย่างกลุ่มพลังงาน -2.15%, กลุ่มธนาคาร -1.86%, กลุ่มปิโตรเคมี -2.70%, กลุ่ม ICT -0.64% และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ -0.01%

คาด SET INDEX วันนี้ย่อตัวลงสู่แนวรับ 1145/50 เมื่อ Moody’s ลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารใหญ่ 15 แห่ง
         

ภาพตลาดหุ้นไทยวันนี้
         

ตลาดหุ้นในเอเชียเช้าวันนี้ ปรับฐานลงเป็นวันที่ 2 หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงไม่ฟื้นตัว ขณะที่ความเสี่ยงของกลุ่มสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น หลัง Moody’s ลดอันดับความน่าเชื่อถือ 15 ธนาคารชั้นนำทั่วโลก รวมไปถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับฐานลงแรง ย่อมกดดันต่อภาวะการลงทุนตลาดหุ้นในเอเชียทั้งทางตรง และทางอ้อม
         

สำหรับ SET INDEX วันนี้คาดปรับฐานลงอีกกว่า1.0% สู่แนวรับหลัก 1145/50 จุด ซึ่งอาจหลุดแนวดังกล่าวในระหว่างชั่วโมงการซื้อขายได้ หลังภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกเป็น bearish อีกครั้ง ราคาน้ำมันดิบ NYMEX – BRENT หลุดแนวรับสำคัญในคืนวานนี้ รวมถึงการซื้อขายสุดท้ายของสัปดาห์ ทำให้แรงซื้อเก็งกำไรเป็นไปอย่างจำกัด 
         

MBKET ถือพอร์ตที่ 55% และเงินสด 45% เพื่อรอขายทำกำไรเมื่อเกิด Technical Rebound ในสัปดาห์หน้า ด้วยประเด็นบวกที่เหลืออยู่ไม่ว่าจะเป็นการทำ Window Dressing หรือ การประชุมผู้นำอียู อาจเห็นมาตรการชัดเจน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั่วโลกอีกครั้ง
         

ปัจจัยสำคัญวันนี้และสัปดาห์หน้า
         

1. Moody’s ลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคาร 15 แห่งทั่วโลก: เป็นธนาคารชั้นนำของโลก ไม่ว่าจะเป็น CS / MS / JPM/ Citigroup/ HSBC/ UBS เป็นต้น ย่อมทำให้กลุ่มธนาคารในวันนี้อาจเป็นเป้าของการถูกลดน้ำหนักการลงทุน จากความเสี่ยงโดยรวมของกลุ่มธนาคารทั่วโลกที่สูงขึ้น
         

2. ราคาน้ำมันดิบหลักหลุดแนวรับสำคัญ: ราคาน้ำมันดิบ NYMEX หลุดแนว US$80/barrel Brent หลุดแนว US$90/barrel และ ดูไบ หลุดแนว US$90/barrel เช่นกัน ย่อมทำให้กลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมีในวันนี้จะเป็นเป้าของการถูกลดน้ำหนักการลงทุนต่อเนื่อง
         

3. ติดตามการประชุมรมว.คลังอียูในวันสุดท้าย: การประชุม รมว.คลังอียูวานนี้ ไม่มีการรายงานออกมาเป็นทางการ ดังนั้นการประชุมนัดสุดท้ายในวันนี้ อาจเห็นรายงานการประชุม ซึ่ง MBKET ให้น้ำหนักต่อการพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาวิกฤติหนี้ และระบบสถาบันการเงินของกลุ่มอียู มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะท่าทีของรมว.คลังเยอรมัน ต่อความเห็นดังกล่าว เพราะถือเป็นรายงานที่จะนำเสนอต่อการประชุมผู้นำอียูในปลายสัปดาห์หน้า
         

4. Window Dressing อาจผลักดันการฟื้นตัวได้บ้างในสัปดาห์หน้า: สัปดาห์หน้าจะเข้าสู่ช่วงเทศกาลทำ Window Dressing ของพอร์ตกองทุนรวม ประกันภัย หรือพอร์ตการลงทุนของบริษัท ซึ่งหากประเมินจาก SET INDEX ณ สิ้น 1Q55 ที่ 1196.77 จุด เทียบกับ ระดับปิดวานนี้ที่ 1159.05 จุด อาจเห็นการประคองระดับ SET INDEX ในสัปดาห์หน้าจากพอร์ตการลงทุนดังกล่าวได้เช่นกัน
         

5. การประชุมผู้นำอียูในวันที่ 28-29 นี้: MBKET เชื่อว่าจะเห็นการสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเสนอของทางฝรั่งเศสที่ต้องการให้ใช้ ESM ในการเข้าซื้อพันธบัตรของประเทศสมาชิกในกลุ่มอียู เพื่อช่วยกดต้นทุนทางการเงินของประเทศสมาชิกลง รวมถึงข้อเสนอของ EC – ECB – IMF ต่อการดำเนินการ Banking Union และการออก Euro bonds ทั้งนี้คงต้องติดตามท่าทีของผู้นำเยอรมันในการประชุมนัดนี้เป็นพิเศษ
         

6. คาดเงินทุนต่างชาติลดน้ำหนักต่อเนื่องแต่ไม่มาก: เพราะหากประเมินจากรอบของการฟื้นตัวกลับจากระดับต่ำสุดของ SET INDEX ที่ 1100 จุด ณ วันที่ 5 มิ.ย. จนถึงวานนี้ ต่างชาติขายสุทธิ 7,671 ล้านบาท อีกทั้งหากประเมินจาก YTD ของผลตอบแทนจากการลงทุนใน SET INDEX เทียบกับ MSCI AP exc Japan เป็น Premium 10.1% ต่ำกว่า PSE ที่ +14.0% ดังนั้น MBKET เชื่อว่าแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติต่อตลาดหุ้นไทยยังคงดำเนินต่อไป แต่จะไม่หนาแน่น เพราะโดยรวมมุมมองการลงทุนต่อตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นกลางถึงบวกผ่านโบรกเกอร์ต่างชาติ
         

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ ““ทยอยสะสม” ได้แก่ 
         

1. KK : ราคาปิด 34.50 บาท ราคาเหมาะสม 41.00 บาท
             a) รายงานยอดสินเชื่อเดือน พ.ค. เพิ่มขึ้น 3.2 พันล้านบาท +2.3% mom จากการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 72% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด และส่งผลให้สินเชื่อรวมตั้งแต่ต้นปี +12.4% YTD เติบโตสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ 
             b) และเรามีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตในระยะยาว หลังควบรวมกิจการกับ PHATRA ในช่วง 3Q55 ซึ่งคาดว่าจะเกิด Synergy และผลักดันผลประกอบการให้เติบโตต่อเนื่อง และส่งผลให้ ROE เพิ่มขึ้นจาก 11% ในปีนี้ เป็น 13% และ 15% ในปี 56-57 ตามลำดับ
             c) รวมทั้งเป็นหุ้นที่ให้เงินปันผลในเกณฑ์ดี โดยคาดว่าจะจ่ายเงินปันผล 1H55 หุ้นละ 1.00 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 2.9% ขณะที่ทั้งปี 2555 คาดว่าจะจ่ายเงินปันผลรวม 2.00 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 5.8% ดังนั้น จึงเชื่อว่าสามารถใช้พักเงินได้ในช่วงสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้บรรยากาศการลงทุนที่ผันผวน
             d) ราคาหุ้นซื้อขายบน PBV 2555 เพียง 0.8 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารที่ 1.4 เท่า จึงมี Downside Risk ที่ค่อนข้างจำกัด  
         

2. DEMCO : ราคาปิด 5.10 บาท ราคาเหมาะสม 6.40 บาท
             a) MBKET ยืนยันให้ DEMCO เป็น หุ้น Top pick ในหุ้นกลุ่ม Medium Cap เนื่องจากได้ประโยชน์โดยตรง จากการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ ภายใต้ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า ฉบับปรับปรุงรอบ 3 และการสนับสนุนโครงการพลังงานทดแทนของภาครัฐ และคาดว่าจะส่งผลให้เกิดการสร้างโรงไฟฟ้าพลังลม และแสงอาทิตย์อีกถึง 3,200 MW ในช่วง 9 ปีข้างหน้า คิดเป็นมูลค่ารวม 2.9 แสนล้านบาท
             b) และมีรายได้มั่นคง เนื่องจากมี Backlog สูงถึง 7.3 พันล้านบาท จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้รายได้ในปี 2555 – 2556 ขยายตัวต่อเนื่อง โดยคาดว่ารายได้ปี 2555 จะขยายตัว +65% yoy เป็น 5,431 ล้านบาท และ 100% ของประมาณการรายได้มี Backlog รองรับทั้งจำนวน
             c) ส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2555 เติบโตแบบก้าวกระโดดถึง +187% yoy เป็น 342 ล้านบาท และต่อเนื่อง +28.4% yoy เป็น 439 ล้านบาทในปี 2556
             d) ราคาหุ้นมี Valuation ที่น่าสนใจในการเข้าซื้อลงทุน โดยซื้อขาย PER 2555 เพียง 7.9 เท่า และลดลงเหลือ 6.2 เท่าในปี 2556 หรือเทียบเท่า PEG เพียง 0.3 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 5.5% ในช่วง 2 ปีข้างหน้า
             e) นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยบวกระยะสั้น คือการย้ายเข้าซื้อขายในหมวดพลังงานตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค. เป็นต้นไป และคาดว่าราคาหุ้นมีแนวโน้มที่จะตอบรับเชิงบวก เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานซื้อขายบน PER ที่สูงกว่ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นกลุ่มปัจจุบันของ DEMCO

What will DJIA move tonight?        
          ไม่มีปัจจัยสำคัญในคืนนี้
 

 


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 22 มิ.ย. 2555 เวลา : 13:36:49

23-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 23, 2024, 8:47 pm