ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
หยิบเงินหยิบทอง - บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง


 


กลยุทธ์วันนี้          Sideways

ตลาดหุ้นวานนี้: 
          ตลาดหุ้นไทยวันศุกร์ยังคงแกว่งตัวซึมลง เนื่องจากหลายตลาดหุ้นทั้งเอเชียและยุโรปปิดทำการเนื่องในวัน Good Friday โดยกลุ่ม ICT / ธนาคาร / AOT ยังคงกดดัน SET INDEX ซึ่งหลุดแนว 1,400 จุดระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย และปิด ณ สิ้นวันที่ 1,394.78 จุด ลบ 10.63 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายเพียง 35,036 ล้านบาท
          ด้านเงินทุนต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 1,769 ล้านบาท คงการ Short สุทธิ SET50 Index Futures เป็นวันที่ 4 อีก 1,139 สัญญา และขายตลาดตราสารหนี้ เป็นวันที่ 3 อีก 3,631 ล้านบาท

 
 
 
 
 
ปัจจัยสำคัญวันนี้
          - การส่งออกเดือนก.พ. ของไทย หากไม่รวมผลของทองคำและน้ำมัน เพิ่มขึ้น 2.4% yoy เป็นสัญญาณเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย
          - รถไฟไทย – จีน สรุปไทยจะเป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้างทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ขั้นตอนต่างๆ เร็วขึ้น และอยู่ในการควบคุมของไทย
          - วันนี้ตลาดหุ้นฮั่งเส็ง และตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการ เนื่องในวัน Easter 

 

มุมมองต่อตลาด
       
  เราลดน้ำหนักการลงทุนลงเป็น “กลาง” วันแรกในรอบ 12 วันทำการ หลัง SET INDEX หลุดแนว 1,400 จุด ทำให้ประเมินว่า SET INDEX จะปรับฐานลงต่อเนื่องสู่ 1,380 จุด จากความอ่อนแอของกระแสเงินทุนต่างชาติในสัปดาห์ที่ผ่านมา และเราประเมินว่าพอร์ตโบรกเกอร์อาจตัดสินใจขายทำกำไร เพื่อบันทำกำไรที่แท้จริงใน 1Q59 กรณี Window Dressing ในไตรมาสนี้เราคิดว่าไม่เกิดขึ้น หลัง SET INDEX ขยับขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2558 ที่ 1,288 จุด มาสู่บริเวณ 1,380-1,400 จุด ผลตอบแทนกว่า 10% 
       
  ทั้งนี้กรอบแกว่งของ SET INDEX วันนี้ เราให้ระหว่าง 1,380-1,400 จุด กลุ่มพลังงาน / ปิโตรเคมี / ICT จะยังมีความอ่อนแอต่อเนื่อง จากปัจจัยแวดล้อมด้านราคาน้ำมันดิบ และกลุ่ม ICT ที่มีแรงกดดันจากผลการดำเนินงานใน 1Q59 ที่จะลดลง qoq และจะชะลอตัวต่อเนื่องไปอีก 2-3 ไตรมาสหน้า จากภาวะการแข่งขันที่เข้มข้น
         
สำหรับปัจจัยพื้นฐาน อย่างการส่งออกเดือนก.พ.ของไทย แม้ว่าจะตัดรายการพิเศษ อย่างทองคำ และอาวุธยุทโธปกรณ์ การส่งออกจะลดลงเพียง 2.0% yoy ซึ่งดีกว่า Bloomberg consensus คาด -8.7% yoy เช่นกัน โดยสัญญาณการส่งออกสินค้าเกษตร / HDD / Eco Car ฟื้นตัวเด่น น่าจะช่วยทำให้ตลาดเบาใจต่อภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้จะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 3.0% และคาดว่าเงินบาทจะกลับมามีแนวโน้มแข็งค่าทดสอบด่าน 35.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ อีกครั้ง ซึ่งนั่นอาจทำให้เงินทุนต่างชาติจะกลับสู่ไทยได้ แต่คาดว่าจะเป็นไปอย่างเบาบาง

 
กลยุทธ์การลงทุน 
          เราแนะนำให้ “นักลงทุนทยอยสะสมหุ้นหลักในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และ/หรือ วัสดุก่อสร้าง ต่อเนื่อง”

 

Stock Pick of the Day

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ “สะสม” ได้แก่ 
          1. ITD  : ราคาปิด 7.20 บาท ราคาเหมาะสม 12.00 บาท
          a) MBKET ประเมินว่าหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะ Outperform ตลาด จากแรงเก็งกำไรการประชุมครม.ในวันพรุ่งนี้ โดยคาดว่าจะมีการพิจารณาอนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู 
          b) ความคืบหน้าของโครงการเหมืองแร่โปรแตซจะเป็นปัจจัยบวกขับเคลื่อนราคาหุ้น โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างกำหนดวันทำประชาพิจารณ์รอบสุดท้ายระดับจังหวัด โดยในขั้นตอนนี้จะไม่มีการโหวตเหมือนการทำประชาพิจารณ์ระดับตำบล 
          c) หลังจากนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมจะพิจารณาข้อดีและข้อเสียของโครงการเหมืองแร่โปรแตซ เพื่อนำเสนอให้ครม.รับทราบและออกประทานบัตร โดยคาดว่าจะได้ประทานบัตรในช่วงเดือน มิ.ย.
          d) ให้เป็น Top pick ของกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจาก Upside สูงสุด และมูลค่าของโครงการเหมืองแร่โปรแตซเฉพาะโครงการอุดรใต้ คิดเป็นมูลค่าต่อหุ้น ITD แบบ Conservative ไม่ต่ำกว่า 5.00 บาทต่อหุ้น 
          2. TPIPL  : ราคาปิด 2.60 บาท ราคาเหมาะสม 3.40 บาท
          a) MBKET คงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และเป็นหุ้นอีกกลุ่มที่ได้ประโยชน์ควบคู่ไปกับกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากแผนลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์กลับมาขยายตัวในปี 2559
          b) คาดกำไรจากการดำเนินงานปกติ 1Q59 จะเติบโตเด่นทั้ง yoy และ qoq จากการรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าขยะจำนวน 73MW แบบเต็มไตรมาส รวมทั้งเป็นไตรมาสแรกที่จะเดินเครื่องการผลิตได้อย่างเต็มที่ จากปีก่อนหน้าที่อยู่ในช่วงเริ่มต้น 
          c) แผนการนำบริษัทลูก คือ TPIPP เข้าจดทะเบียน IPO ในปีนี้ จะเป็น Catalyst สำคัญ และช่วยเพิ่ม Market Cap ให้ TPIPL อย่างมีนัยสำคัญ โดยประเมินเบื้องต้นคาดว่าหุ้น TPIPP จะมี Market cap ราว 5 หมื่นล้านบาท หรือเทียบเท่ามูลค่าต่อหุ้น TPIPL ที่ 2.45 บาท
          d) Valuation ถูกมาก ซื้อขายระดับ PBV2559 เพียง 0.9 เท่า ต่ำกว่า SCC และ SCCC ที่  2.4x และ 2.9x ตามลำดับ
 
 

Fund Flow Analysis

Fund Flow in Emerging Markets
ขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 22 วันทำการ US$160 ล้าน จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ US$128 ล้าน 

Foreign Investors Action วานนี้
 
เงินทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรทั้ง 3 ตลาด
          นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 1,769 ล้านบาท เทียบกับ 3 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 1,561 ล้านบาท ทำให้ยอด YTD ซื้อสุทธิลดลงเหลือ 7,579 ล้านบาท
          ด้าน SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Short สุทธิเป็นวันที่ 4 อีก 1,139 สัญญา รวม 4 วันทำการ Short สุทธิ 14,631 สัญญา เทียบกับ 3 วันทำการก่อนหน้า Long สุทธิ 19,102 สัญญา เชื่อว่าจะเป็นการทยอยปิดสถานะ Long ต่อเนื่อง แม้ว่า S50M16 ปิดต่ำกว่า SET50 Index กว้างขึ้นเป็นวันที่ 2 เป็น 9.20 จุด จากวันก่อนหน้า Premium เท่ากับ 8.97 จุด กดดันให้ QTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Long สุทธิต่ำกว่า 130,000 สัญญา เป็น 129,170 สัญญา
          และตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้คงการขายสุทธิเป็นวันที่ 3 อีก 3,631 ล้านบาท รวม 3 วันทำการ ขายสุทธิ 12,464 ล้านบาท เทียบกับ 4 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 33,941 ล้านบาท ขณะที่ราคาพันธบัตรไทยแกว่งตัวในกรอบแคบ ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 1.89bps จากวันก่อนหน้าลดลงมากถึง 3.36bps ปิดที่ 1.836%
 
 

Short-Selling วานนี้ 
ลดลงเป็นวันที่ 3 เป็น 811 ล้านบาท ใกล้เคียงกับวันก่อนหน้า 851 ล้านบาท           

NVDR Movement
NVDR ขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 19 วันทำการ เน้นลดน้ำหนัก ICT 
          การซื้อขายผ่าน NVDR กลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 19 วันทำการ 696 ล้านบาท เทียบกับ 18 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 45,583 ล้านบาท โดยเน้นลดน้ำหนักกลุ่ม ICT เป็นหลัก สรุปภาพรวมได้ดังนี้
          1. กลุ่ม ICT ถูกกลับมาขายสุทธิสูงสุด 471 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 339 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มพลังงาน ขายสุทธิ 97 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ ซื้อสุทธิ 412 ล้านบาท 
          2. ส่วนกลุ่มค้าปลีกถูกซื้อสุทธิสูงสุด แต่ก็เพียง 33 ล้านบาทเท่านั้น 

ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ – การเงินรายภูมิภาค

สหรัฐอเมริกา
          - GDP ใน 4Q58 ของสหรัฐฯ รอบสุดท้ายดีกว่าคาด: ขยายตัว 1.4% qoq ดีกว่า Bloomberg consensus คาด 1.0% qoq และตัวเลขก่อนหน้าที่ 1.0% qoq โดยมีการปรับตัวเลขการใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้น 

 
 
ยุโรป
          - ไม่มี

จีน          
          - กำไรภาคอุตฯ ฟื้นตัวครั้งแรกในรอบ 8 เดือน: ช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ กำไรจากภาคอุตฯ เพิ่มขึ้น 4.8% yoy โดยภาคการผลิตน้ำมัน, เครื่องจักรกล และอาหาร เป็นกลุ่มที่นำขึ้นมาจาก 28 ใน 41 กลุ่มอุตฯ ที่รายงานกำไรเพิ่มขึ้น ส่วนเหมืองแร่ และวัตถุดิบกำไรลดลงค่อนข้างแรง รวมถึงปัญหาระดับสินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับสูง ยังคงกดดันต่อภาคการผลิต

เอเชียแปซิฟิก
          - เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตชะลอตัว: 1Q59 เติบโต 5.46% yoy ชะลอตัวจาก 4Q58 ที่เติบโต 7.01% yoy และต่ำกว่า Bloomberg consensus คาด 6.10% yoy ทั้งนี้เป็นผลจากราคาของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ลดลง และหากลดลงต่อเนื่อง ย่อมส่งผลกระทบต่องบประมาณในปีนี้ โดยรายได้จากการขายน้ำมันดิบลดลง 53.0% yoy ใน 1Q59 และทำให้เวียดนามลดกำลังการผลิตลง 3.7% yoy ใน 1Q59 เป็น 4.0 ล้านลบ.ตัน 
          - อัตราเงินเฟ้อมาเลเซียเร่งตัวขึ้น: ขยายตัว 4.2% yoy ในเดือน ก.พ. จากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 3.5% yoy ใกล้เคียงกับที่ Bloomberg Consensus คาดที่ +4.1% yoy ทั้งนี้ราคาอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น 4.8% yoy รวมถึงสินค้าและบริการเบ็ดเตล็ดเพิ่มขึ้น 5.2% yoy เช่นเดียวกับราคาสาธารณูปโภค, ขนส่งและสื่อสารที่ราคาเพิ่มขึ้น

ไทย
         
- รมว.คมนาคมไม่รอจีน เดินหน้าสร้างรถไฟความเร็วสูง: รมว.คมนาคม เปิดเผยว่าจากการประชุมหารือผู้นำของไทยและจีนเมื่อวันที่ 23 มี.ค.เกี่ยวกับโครงการความร่วมมือรถไฟไทย-จีน ได้มีปรับเส้นทางเป็นกรุงเทพฯ-แก่งคอย-นครราชสีมา-หนองคาย จากเดิมกรุงเทพฯ-แก่งคอย-นครราชสีมา-หนองคาย และ แก่งคอย-มาบตาพุด โดยจะก่อสร้างช่วงแรกก่อน คือกรุงเทพฯ- แก่งคอย-นครราชสีมา ระยะทาง 250 กิโลเมตร (กม.) เป็นรถไฟความเร็ว 250 กม./ชม. ขนาดรางมาตรฐาน 1.435 เมตร เพื่อรองรับผู้โดยสาร และคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในเดือน ส.ค.-ก.ย.59 เลื่อนจากเดิมในเดือน พ.ค. 59 โดยฝ่ายไทยจะเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด แต่ใช้เทคโนโลยีจากจีน กระทรวงคมนาคมจะพิจารณาให้งานระบบรถ ระบบอาณัติสัญญาณ และการเดินรถ เข้าไปเป็นรูปแบบเอกชนร่วมลงทุนภาครัฐ (PPP) ซึ่งให้เอกชนลงทุน และให้สัญญาสัมปทาน หรืออาจจะให้เอกชนเป็นผู้บริหารเดินรถ ในรูปแบบ PPP
       
- ส่งออกเดือนก.พ.ฟื้นตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน: การส่งออกเดือนก.พ.2559 มีมูลค่า 18,994 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.27% เป็นการส่งออกกลับมาขยายตัวเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 14 เดือน นับจากเดือนม.ค.2558 ที่ติดลบ 3.45% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 14,008 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 16.82% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้า 4,986 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ถ้าหักตัวเลขการส่งออกทองคำและสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันออก โดยยังคงสินค้ากลุ่มยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในการซ้อมรบเอาไว้ การส่งออกจะเพิ่มขึ้น 2.4% และหากหักออกทั้ง 3 รายการ การส่งออกเดือนก.พ. จะติดลบ 2.0%


          โดย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ประจำวันที่ 28 มี.ค. 2559
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 28 มี.ค. 2559 เวลา : 10:21:50

17-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 17, 2024, 5:29 am