ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ผลโพลชี้ผู้สูงอายุ48.32%ยังมีภาระหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบ


 


เนื่องในวันที่ 13 เมษายน ของทุกปี ตรงกับวันผู้สูงอายุ ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล”  ร่วมกับ “ศูนย์วิจัยสังคมสูงอายุ” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน         เรื่อง “ภาวะทางเศรษฐกิจของผู้สูงอายุไทย ปี 2559” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 23 – 28 มีนาคม 2559 กรณีศึกษาจากผู้สูงอายุไทย ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ กระจายทั่วทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,250 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับภาวะ           การทำงาน รายได้ ภาระหนี้สิน การได้รับการเกื้อกูล และการใช้เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 
 
 

จากผลการสำรวจ เมื่อถามถึงภาวะการทำงาน รายได้เฉลี่ย และเหตุผลของการไม่ได้ทำงานของผู้สูงอายุไทย พบว่า ผู้สูงอายุไทยส่วนใหญ่  ร้อยละ 63.20 ระบุว่า ไม่ได้ทำงานแล้ว รองลงมา ร้อยละ 23.12 ระบุว่า ทำงานมีรายได้เป็นรายเดือน โดยมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 23,752.10  บาท/เดือน  (S.D. = 180,126.76 บาท/เดือน ต่ำสุด 150 บาท/เดือน สูงสุด 3,000,000 บาท/เดือน) และร้อยละ 13.68 ระบุว่า ทำงานมีรายได้เป็นรายวัน โดยมีรายได้เฉลี่ยวันละ 487.64 บาท/วัน  (S.D. = 1,121.10 บาท/วัน  ต่ำสุด 20 บาท/วัน สูงสุด 10,000 บาท/วัน)               ซึ่งในจำนวนผู้ที่ระบุว่า ไม่ได้ทำงานแล้ว ส่วนใหญ่  ร้อยละ 58.10 ให้เหตุผลว่า เป็นเพราะอายุมากแล้ว รองลงมา ร้อยละ 19.62 ระบุว่า เพราะเกษียณอายุแล้ว ร้อยละ 16.20 ระบุว่า เพราะสุขภาพไม่ดี ร้อยละ 15.19 ระบุว่า เพราะลูกหลานไม่ต้องการให้ทำงาน ร้อยละ 2.28      ระบุว่า เพราะไม่มีใครจ้างงาน และร้อยละ 0.38 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ต้องดูแลบิดามารดาที่ป่วย มีญาติพี่น้องคอยช่วยเหลือเกื้อกูลอยู่แล้ว        และบางส่วนทำงานด้านจิตอาสาให้กับวัด
ด้านภาระหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบในด้านต่าง ๆ ของผู้สูงอายุไทย พบว่า ผู้สูงอายุไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 51.68 ระบุว่า ไม่มีภาระหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบ ขณะที่ร้อยละ 48.32 ระบุว่า มีภาระหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบ โดยในจำนวนนี้ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ ร้อยละ 49.69      ระบุว่า มีภาระหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบที่เกิดจากการประกอบธุรกิจการค้า การประกอบอาชีพ รองลงมา ร้อยละ 27.09 ระบุว่า เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ร้อยละ 17.49 ระบุว่า เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย บ้าน คอนโด ทาวน์เฮาส์ ฯลฯ ร้อยละ 14.24 ระบุว่า เพื่อเป็นการผ่อนชำระสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ร้อยละ 10.06 ระบุว่า เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาบุตรหลาน และร้อยละ 0.77 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูพ่อแม่ ค่ารักษาพยาบาล ชดเชยค่าเสียหายจากการถูกฉ้อโกง
สำหรับการให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลในด้านต่าง ๆ ของลูกหลานต่อผู้สูงอายุไทย พบว่า ผู้สูงอายุไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 24.80       ระบุว่า ลูกหลานให้เงินช่วยเหลือเป็นประจำ (ทุกวัน/สัปดาห์/เดือน) รองลงมา ร้อยละ 21.20 ระบุว่า มีลูกหลานแต่ไม่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลในด้านใด ๆ ร้อยละ 17.68 ระบุว่า ให้เงินช่วยเหลือตามโอกาส (เช่น วันเกิด เทศกาลปีใหม่หรือสงกรานต์) ร้อยละ 16.48 ระบุว่า ให้เวลาช่วยเหลือในการทำกิจกรรมต่าง ๆ  เช่น ช่วยงานบ้าน ทำกับข้าวให้ทาน อ่านหนังสือให้ฟัง ช่วยทำธุระ พาไปหาหมอ ฯลฯ  เป็นประจำ         (ทุกวัน/สัปดาห์/เดือน) ร้อยละ 10.56 ระบุว่า ไม่มีลูกหลานมาให้ความช่วยเหลือ (โสด ไม่มีบุตรหลาน เป็นหม้าย/หย่าร้าง อยู่ตัวคนเดียว) และร้อยละ 9.28 ระบุว่า ให้เวลาช่วยเหลือในการทำกิจกรรมต่าง ๆ  เป็นครั้งคราว
ด้านบุคคลที่ผู้สูงอายุไทยจะขอให้ช่วยเหลือเป็นคนแรกถ้าหากมีปัญหาทางด้านการเงิน พบว่า ผู้สูงอายุไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 47.68 ระบุว่า เป็นลูก รองลงมา ร้อยละ 9.36 ระบุว่า เป็นสถาบันการเงิน (เช่น ธนาคาร สหกรณ์ออมทรัพย์) ร้อยละ 7.84 ระบุว่า เป็นคู่สมรส ร้อยละ 7.44 ระบุว่า เป็นพี่/น้อง/ญาติ/คนในครอบครัว ร้อยละ 3.92 ระบุว่า เป็นพึ่งตนเอง ร้อยละ 1.76 ระบุว่า เป็นหลาน (ลูกของลูก)        ร้อยละ 1.12 ระบุว่า เป็นเพื่อน/เพื่อนบ้าน/คนรู้จัก ร้อยละ 0.96 ระบุว่า เป็นกู้เงินนอกระบบ ร้อยละ 0.56 ระบุ อื่น ๆ ได้แก่ กองทุนหมู่บ้าน รัฐบาล ขณะที่ร้อยละ 19.36 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ  

ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงการนำเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ไปใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ ของผู้สูงอายุไทยในรอบปีที่ผ่านมา พบว่า ผู้สูงอายุไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 49.54 ระบุว่า นำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (อาหารการกิน ข้าวของเครื่องใช้ สินค้าอุปโภคบริโภค) รองลงมา ร้อยละ 21.08 ระบุว่า ไม่ได้รับเบี้ยยังชีพ (เกษียณอายุ อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ อายุเพิ่งจะ 60 ปี บริบูรณ์) ร้อยละ 9.99 ระบุว่า ใช้ในเรื่องของการดูแลสุขภาพร่างกาย การรักษาโรค ร้อยละ 9.01 ระบุว่า นำไปทำบุญ ร้อยละ 5.48 ระบุว่า นำไปฝากธนาคาร/เก็บออม/ลงทุน ร้อยละ 2.74 ระบุว่า นำไปให้บุตรหลาน ร้อยละ 1.17 ระบุว่า นำไปใช้จ่ายหนี้สิน ร้อยละ 0.78 ระบุว่า นำไปประกอบธุรกิจการค้า การลงทุนด้านการประกอบอาชีพ และร้อยละ 0.20 ระบุ อื่น ๆ ได้แก่ บริจาคให้ผู้อื่น สละสิทธิ์ให้ผู้อื่นที่เดือดร้อนกว่า ทำประกันชีวิต
 

บันทึกโดย : วันที่ : 17 เม.ย. 2559 เวลา : 09:07:45

19-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 19, 2024, 12:04 am