ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
หยิบเงินหยิบทอง -บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง


 


ตลาดหุ้นไทยวานนี้
          SET INDEX วานนี้เปิดทะลุแนว 1,500 จุด ไปแกว่งทดสอบด่าน 1,505-1,510 จุด ผลักดันด้วยหุ้นหลักอย่าง SCC / PTT/ ADVANC / AOT/ KBANK เป็นต้น อีกทั้งเงินทุนต่างชาติที่ยังคงหนาแน่น ส่งผลให้ SET INDEX ปิดบวก 18.03 จุด มาอยู่ที่ 1,510.03 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 64,103 ล้านบาท
ต่างชาติยังคงเลือกซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 8 หนาแน่นถึง 5,049 ล้านบาท แม้ว่าจะคงการ Short สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 3 อีก 4,689 สัญญา และกลับมาขายสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 3,092 ล้านบาท

ปัจจัยสำคัญวันนี้
          ติดตามการประชุม ECB วันนี้ Bloomberg consensus คาด ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.00% 
          TMB รายงานกำไรสุทธิใน 2Q59 เท่ากับ 2.1 พันล้านบาท ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดการณ์
          SCB รายงานกำไรสุทธิใน 2Q59 เท่ากับ 1.28 หมื่นล้านบาท โดยสัญญาณบวกจาก NPLs ที่ดีขึ้น 
          ติดตามการประกาศงบ 2Q59 ของธนาคารขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ KBANK / BBL 
          เงินทุนต่างชาติยังคงหนาแน่นในตลาดเอเชียเกิดใหม่

มุมมองต่อตลาดวันนี้: กลาง 
          เราปรับมุมมองต่อการลงทุนเป็น “กลาง” อีกครั้ง หลัง SET INDEX ยืนเหนือ 1,500 จุดได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมกับกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอย่างหนาแน่นและต่อเนื่อง ภายใต้คาดการณ์ผลตอบแทนจากเงินปันผลงวดปี 2559 ที่ 2.99% เทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศพัฒนาแล้ว ที่ติดลบเป็นส่วนใหญ่ เว้นแต่พันธบัตรสหรัฐฯ ที่ยังเป็นบวก ภายใต้สภาพคล่องทางการเงินที่ล้นในระบบการเงินโลก ทำให้เงินทุนไม่มีทางเลือกที่จะเข้าสะสมหุ้นปันผลในตลาดหุ้นไทย
          เราประเมินด่านสำคัญทางจิตวิทยาต่อไปคือ 1,520-1,530 จุด ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะไต่ระดับขึ้นไปทดสอบ หากค่ำวันนี้ผลการประชุม ECB ส่งสัญญาณเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุมนัดถัดไปเดือนก.ย. ขณะที่ FOMC ที่จะมีการประชุมในสัปดาห์หน้าโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นไปได้ยากมากขึ้น ยิ่งทำให้เงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียเกิดใหม่ต่อเนื่อง  
          อย่างไรก็ตาม การไต่ระดับขึ้นของ SET INDEX ในรอบนี้จะมีความแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงาน 2Q59 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้น Big Cap จะออกมาดีกว่าคาดหรือไม่ เราจึงแนะนำให้ติดตามการรายงานงบ 2Q59 ของกลุ่มธนาคารในสัปดาห์นี้
          กลยุทธ์การลงทุน “เก็งกำไรแบบจำกัดวงเงิน” ประเมินกรอบแกว่ง 1,505-1,520 จุด

Strategy of the Day          
          1. เก็งกำไร LH : ราคาปิด 9.50 บาท ราคาเหมาะสม 10.80 บาท
          a) ราคาหุ้นมี Sentiment บวก หลัง LHBANK รายงานกำไรสุทธิ 2Q59 เติบโตถึง +91% yoy ดีกว่าคาดการณ์ของตลาดของตลาดถึง 60% จึงคาดจะส่งผลให้ Equity Income ของ LH เติบโตสูงใน 2Q59 โดยปัจจุบัน LH ถือหุ้น 33.9% และจะลดลงเหลือ 21.9% หลัง CTBC ชำระเงินเพิ่มทุนใน LHBANK 
          b) คาดกำไรสุทธิ 2Q59 เติบโต qoq และจะเด่นใน 2H59 จากการรับรู้รายได้ Backlog โครงการคอนโดมิเนียม ได้แก้ 333 Riverside และ The Room Sathorn 11
          c) ผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับสูง โดยคาดการณ์เงินปันผล 1H59 หุ้นละ 0.25 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 2.6% และทั้งปี 2559 หุ้นละ 0.56 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 5.8%           
          2. เก็งกำไร BBL : ราคาปิด 172.00 บาท ราคาเหมาะสม 178.00 บาท
          a) MBKET คงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร และเชื่อว่าจะ Outperform ตลาดได้ใน 2H59 เนื่องจากเป็นกลุ่มทีได้ประโยชน์โดยตรงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และได้อานิสงค์จากการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ
          b) คาดการณ์กำไรสุทธิ 2Q59 เติบโต qoq สะท้อนให้เห็นถึงกำไรที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 1Q59 และคาดว่ากำไร 2H59 จะขยายตัวจาก 1H59 จากการตั้งสำรองที่ลดลง 
          c) ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ที่ระดับ PBV2559 เพียง 0.85 เท่า,ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.4% และมีคุณภาพของสินทรัพย์แข็งแกร่ง เนื่องจากมี Coverage Ratio สูงสุดในกลุ่มธนาคาร

Fund Flow Analysis

Fund Flow in Emerging Markets
กระแสเงินทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก US$803 ล้าน จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ US$891 ล้าน 
และเป็นการซื้อสุทธิทุกตลาดที่ต่อเนื่อง

Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติยังคงเลือกสะสมหุ้นรายตัวหนาแน่นต่อเนื่อง
          นักลงทุนต่างชาติ คงการซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 8 เร่งขึ้นเป็น 5,049 ล้านบาท รวม 8 วันทำการซื้อสุทธิทะลุ 20,000 ล้านบาท เป็น 23,651 ล้านบาท และทำให้ YTD ต่างชาติซื้อสุทธิทะลุ 60,000 ล้านบาท เป็น 63,570 ล้านบาท
          แต่ SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้ยังคงเลือก Short สุทธิเป็นวันที่ 3 มากถึง 4,689 สัญญา รวม 3 วันทำการ Short สุทธิมากถึง 7,102 สัญญา เทียบกับ 3 วันทำการก่อนหน้า Long สุทธิ 17,153 สัญญา น่าจะเป็นการเร่งปิดสถานะ Long ที่เปิดไว้ และกดดันให้ QTD คงเป็น Long สุทธิลดลงเหลือ 4,549 สัญญา โดย S50U16 ปิดต่ำกว่า SET50 Index เท่ากับ 6.44 จุด ใกล้เคียงกับวันก่อนหน้าที่ 6.35 จุด   
          และตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 3,092 ล้านบาท เทียบกับ 2 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 4,293 ล้านบาท กดดันให้ราคาพันธบัตรไทยปรับตัวลงต่อเนื่อง ผ่านพันธบัตรไทย อายุ 10 ปี ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นมากถึง 4.68bps จากวันก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 1.63bps ปิดที่ 2.054%

Short-Selling วานนี้ 
เท่ากับ 715 ล้านบาท ใกล้เคียงกับวันก่อนหน้าที่ 714 ล้านบาท          

NVDR Movement
NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 10 หนาแน่นมากขึ้น เน้นกลุ่มพลังงาน / ICT อย่างโดดเด่น
          การซื้อขายผ่าน NVDR ซื้อสุทธิเร่งขึ้นเป็น 5,653 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 3,390 ล้านบาท รวม 10 วันทำการ ซื้อสุทธิทะลุ 30,000 ล้านบาท เป็น 32,881 ล้านบาท เป็นการเน้นสะสมกลุ่มพลังงาน และ ICT จากก่อนหน้าที่เน้นกลุ่มธนาคาร

ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ – การเงินรายภูมิภาค

สหรัฐอเมริกา

          ไม่มี

ยุโรป

          อัตราการว่างงานในอังกฤษทำระดับต่ำกว่า 5% ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2548: อัตราการว่างงานเฉลี่ย 3 เดือน สิ้นสุดเดือนพ.ค. เท่ากับ 4.9% เป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 3Q48 และดีกว่า Bloomberg consensus คาด 5.0% โดยการจ้างงานเพิ่มขึ้น 176,000 ตำแหน่ง สูงสุดในรอบปีนี้ เป็น 31.7 ล้านตำแหน่งในภาพรวม 
          BoE ยังไม่เห็นความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะหดตัวลงแรง: BoE ยืนยันยังไม่เห็นสัญญาณเสี่ยด้านเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวลงแรง แม้ว่าจะทราบผลประชามติ Brexit ไปแล้วก็ตาม เพราะภาคเอกชนส่วนใหญ่ยังไม่มีแผนที่จะย้ายการลงทุน หรือการเปลี่ยนแปลงการจ้างงานในระยะสั้นนี้ 
          นายกฯ อังกฤษ ต้องการเวลาในการดำเนินการ Brexit: เพื่อดำเนินการพิจารณามาตรา 50 แห่งกฎหมายลิสบอน หลังเข้าหารือกับนายกฯ เยอรมัน โดยนายกฯ May ยืนยัน ชาวอังกฤษต้องการมีสิทธิ์ในการควบคุมผู้อพยพจากอียู นอกจากนี้ อังกฤษยังต้องการได้รับสิทธิ์ที่ดีสำหรับการค้าสินค้าและบริการกับอียู เช่นกัน
          ตุรกีประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 3 เดือน: เนื่องจากรัฐบาลต้องการเข้าควบคุมสถานการณ์ หลังการทำรัฐประหารที่ล้มเหลวไปในช่วงสุดสัปดาห์ 
          S&P ปรับลดแนวโน้มตุรกีลง: โดยปรับลดแนวโน้มลงเป็น “ลบ” จากเดิม “คงที่” เนื่องจากนักลงทุนควรให้น้ำหนักกับความไม่แน่นอน รวมถึงกระแสเงินทุนที่จะไหลออก 

จีน          

          จีนนำเข้าถั่วเหลืองลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี: ตลาดคาดว่าในช่วง 12 เดือนข้างหน้านับตั้งแต่เดือนส.ค.นี้เป็นต้นไป จะนำเข้าถั่วเหลืองลดลง 4% yoy เป็น 80 ล้านตัน ขณะที่รัฐบาลเตรียมเร่งระบายถั่วเหลืองในสต็อกอีก 4.3 ล้านตัน หลังระดับสต็อกถั่วเหลืองอยู่ในระดับที่สูง อีกทั้งราคาถั่วเหลืองในตลาดโลกที่สูง ทำให้เกษตรกรของจีนอาจเร่งผลิตถั่วเหลืองให้มากขึ้นในปีนี้ อาจสูงถึง 25% ในฤดูกาลหน้า
          ธนาคารกลางจีนยืนยันยังมีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยง: ธนาคารกลางจีนยังมีเครื่องมือและมีช่องว่างในการใช้นโยบายการเงิน เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ พร้อมยืนยันไม่มีแนวคิดที่จะลดค่าเงินหยวน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจ และภาคการส่งออก

เอเชียแปซิฟิก

          อินเดียเตรียมอัดฉีดเงินเพื่อเพิ่มฐานทุนในระบบธนาคารรัฐ: ธนาคาร State Bank of India และ Indian Overseas bank เป็น 2 ใน 13 ธนาคารรัฐ จะได้รับเงินเพิ่มทุนจากรัฐบาลรวม 2.292 แสนล้านรูปี หรือ US$3.4 พันล้าน ซึ่ง State Bank เป็นธนาคารรัฐที่ใหญ่ที่สุดจะได้รับเงินเพิ่มทุน 7.58 หมื่นล้านรูปี ส่วน Indian Overseas bank จะได้รับเงิน 3.1 หมื่นล้านรูปี
          อัตราเงินเฟ้อมาเลเซียชะลอตัวลง: เพิ่มขึ้น 1.6% yoy ในเดือน มิ.ย. จากเดือนก่อนที่ +2.0% yoy และต่ำกว่าที่ Bloomberg Consensus คาด +1.8% yoy ทั้งนี้ราคาอาหารและสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น 4.2% และ 2.4% yoy ตามลำดับ ขณะที่ราคาขนส่งลดลง 8.5% yoy 
          คำสั่งภาคส่งออกของไต้หวันหดตัวน้อยกว่าคาด: ลดลง 2.4% yoy สำหรับเดือน มิ.ย. จากเดือนก่อนหน้าที่ -5.8% yoy เทียบกับ Bloomberg Consensus คาด -5.0% yoy นำโดยคำสั่งซื้อจากสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้น 1.2% yoy จากเดือนก่อนที่หดตัว 4.0% yoy เช่นเดียวกับในยุโรปที่ +3.2% yoy ทั้งนี้ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงยอดส่งออกใน 1-3 เดือนข้างหน้า


ไทย

          รมว.คลัง คาด GDP ใน 2Q59 เติบโต 3.3% yoy: รมว.คลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาคาดว่าจะขยายตัวได้ 3.3% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสแรกที่ 3.2% แสดงให้เห็นว่า พื้นฐานของเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพ และมีความแข็งแกร่งสามารถรองรับความผันผวนของปัจจัยลบต่างๆ ของเศรษฐกิจโลกและภายในประเทศได้ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาโดยเฉพาะปัญหาภัยแล้งที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงตามที่คาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตได้ประมาณ 4-5% ของจีดีพี หากมองตามศักยภาพและโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจไทย แต่ที่จีดีพีขยายตัวได้ต่ำกว่าที่ประเมินไว้ เพราะช่วงที่ผ่านมา ไทยหยุดนิ่งเรื่องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและยังมีปัญหาการเมืองภายในประเทศ
 

 โดย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ประจำวันที่ 21 ก.ค. 2559

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 21 ก.ค. 2559 เวลา : 10:24:44

20-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 20, 2024, 1:20 am