ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
กพร. มั่นใจร่าง พ.ร.บ. แร่ฉบับใหม่เป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่


 


 
กพร. เผยข้อมูลร่าง พ.ร.บ. แร่ฉบับใหม่ พร้อมตั้งเป้าพ.ร.บ. แร่ฉบับใหม่ต้องสร้างสมดุลระหว่างมิติสิ่งแวดล้อมและมิติเศรษฐกิจ

กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ชี้แจงความคืบหน้าร่าง พ.ร.บ. แร่ ฉบับใหม่ ล่าสุดอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. แร่ ฉบับใหม่ ซึ่งนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนมาประกอบในการพิจารณาเพื่อทบทวน หรือปรับแก้ร่างอย่างละเอียด   อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าหากร่าง พ.ร.บ. แร่ ฉบับใหม่ ดังกล่าว มีผลบังคับใช้ จะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการทรัพยากรแร่และการจัดเก็บค่าภาคหลวงแร่เป็นไปอย่างมีระบบ รวมทั้งจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่อย่างยั่งยืน   

นายชาติ หงส์เทียมจันทร์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ในฐานะเป็นหนึ่งใน คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. แร่ ฉบับใหม่ กล่าวถึงความคืบหน้าในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. แร่ ฉบับใหม่ ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รับหลักการ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2559 ว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. แร่ ฉบับใหม่ ซึ่งอยู่ในกระบวนการนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนมาประกอบในการพิจารณาเพื่อทบทวน หรือปรับแก้ร่างอย่างละเอียด โดยเฉพาะข้อกังวลของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย นักวิชาการ  กลุ่มประชาสังคมปฏิรูปทรัพยากรและทองคำ และตัวแทนประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ในหลายพื้นที่ ที่แสดงความห่วงใยต่อร่างกฎหมายนี้
 

นายชาติ กล่าวยืนยันว่า ร่าง พ.ร.บ. แร่ ฉบับใหม่ บัญญัติขึ้นโดยคำนึงถึงบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ปัญหาและอุปสรรคของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในอดีต รวมทั้งได้นำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะทั้งจากภาครัฐ ผู้ประกอบการ และภาคประชาชน กำหนดเป็นหลักเกณฑ์อย่างครบถ้วน เพื่อให้ร่าง พ.ร.บ. แร่ ฉบับใหม่ ฉบับนี้เป็นการปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน โดยกำหนดหลักการสำคัญให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมแร่อย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงดุลยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมทั้งต่อรัฐ ชุมชน และผู้ประกอบการ ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่อย่างยั่งยืน ดังนั้น หากร่าง พ.ร.บ. แร่ ฉบับใหม่ มีผลบังคับใช้ เชื่อมั่นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการทรัพยากรแร่และการจัดเก็บค่าภาคหลวงแร่เป็นไปอย่างมีระบบ 
 

 
 
 
สำหรับร่าง พ.ร.บ. แร่ ฉบับใหม่ เป็นการปรับปรุงกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 และพระราชบัญญัติพิกัดอัตราค่าภาคหลวงแร่ พ.ศ. 2509  ซึ่งใช้บังคับมาเป็นเวลานาน ทำให้บทบัญญัติบางประการไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุง โดยนำหลักการของกฎหมายทั้งสองฉบับมาบัญญัติรวมไว้ในฉบับเดียวกัน มีสาระสำคัญ ดังนี้

1. กำหนดนโยบายในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ โดยกำหนดให้รัฐมีหน้าที่ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ และมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน

2. ในขั้นตอนการยื่นขอประทานบัตรเพื่อทำเหมืองแร่ ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็น ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่

3. การกระจายอำนาจในการบริหารจัดการแร่ จากเดิมที่การอนุญาตประทานบัตรเป็นอำนาจของรัฐมนตรีได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เป็นการอนุญาตในรูปแบบของคณะกรรมการ  ทั้งนี้ คณะกรรมการแร่แต่ละคณะจะมีผู้แทนจากองค์กรชุมชนและองค์กรเอกชน เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการแร่ด้วย

4. กำหนดให้การทำเหมืองต้องมีการวางหลักประกันหรือการจัดตั้งกองทุนการฟื้นฟูสภาพพื้นที่การทำเหมือง เพื่อเป็นการวางแผนป้องกันไว้ล่วงหน้า และเป็นมาตรการในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

5. แบ่งการทำเหมืองออกเป็น 3 ประเภท ตามผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การกำหนดมาตรการป้องกันผลกระทบและการกำกับดูแลได้อย่างเหมาะสมกับประเภทของการทำเหมืองนั้น ๆ

6. ยังคงกำหนดให้การขออนุญาตทำเหมือง จะต้องทำ EIA หรือ EHIA ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และต้องได้รับอนุญาตจากส่วนราชการเจ้าของพื้นที่ ไม่ว่าพื้นที่ที่มาจากการประมูลหรือพื้นที่ที่เอกชนสำรวจพบแหล่งแร่เอง

7. ลดขั้นตอนในการขอและออกใบอนุญาตการประกอบธุรกิจแร่

8. กำหนดบทลงโทษให้สูงขึ้น  30 เท่า จากกฎหมายปัจจุบัน

9. การจัดเก็บค่าภาคหลวงแร่ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการประเมินค่าภาคหลวงแร่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บค่าภาคหลวงแร่ และเป็นการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ

10. กำหนดหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลการนำเข้าแร่และส่งแร่ออกนอกราชอาณาจักรเพื่อให้สามารถควบคุมกำกับดูแล เพื่อประโยชน์ในเรื่องของความมั่งคงทางเศรษฐกิจ การคุ้มครองทางด้านสิ่งแวดล้อม หรือความปลอดภัยของสาธารณชน

11. ปรับปรุงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่รัฐจะเรียกเก็บตามกฎหมายแร่ให้สูงขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เป็นต้น นายชาติ กล่าว


สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กระทรวงอุตสาหกรรม ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 0 2202 3555 หรือเข้าไปที่ www.dpim.go.th
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 16 ส.ค. 2559 เวลา : 10:28:03

27-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 27, 2024, 1:59 am