ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
หยิบเงินหยิบทอง - บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง


 


หยิบเงินหยิบทอง - บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง

ตลาดหุ้นไทยวานนี้
          SET INDEX วันศุกร์เปิดย่อตัวลงและซึมตัวลงเกือบตลอดชั่วโมงการซื้อขาย เนื่องด้วยเป็นการซื้อขายวันสุดท้ายของสัปดาห์ และแรงกดดันจากกรณี Deutsche Bank กดให้ SET INDEX ลบ 8.22 จุด มาอยู่ที่ 1,483.21 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายเพียง 39,987 ล้านบาท
          ทั้งนี้เงินทุนต่างชาติขายทำกำไรทั้ง 3 ตลาด ตลาดหุ้นขายสุทธิเป็นวันที่ 2 เพียง 558 ล้านบาท Short สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันแรกในรอบ 9 วันทำการ 1,240 สัญญา และขายสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันแรกในรอบ 10 วันทำการ 2,038 ล้านบาท

ปัจจัยสำคัญวันนี้
 
          - ต่างชาติขายทำกำไรทั้ง 3 ตลาดพร้อมกันในวันศุกร์ แต่เพียงเล็กน้อย
          - สัญญาณ NPLs ของกลุ่ม SMEs แตะระดับสูงสุดใน 3Q59 
          - ตัวเลขเศรษฐกิจเดือนส.ค.ออกมาเป็นกลางถึงบวก กำลังซื้อในประเทศดีขึ้นต่อเนื่อง
          - Deutsche Bank คาดว่าจะตกลงกับ DOJ ในการชำระความเสียหาย US$5.4 พันล้าน จากที่ DOJ กำหนด US$1.4 หมื่นล้าน
          - ตลาดหุ้นจีนหยุดทั้งสัปดาห์ เนื่องในเทศกาล Golden Week

มุมมองต่อตลาดวันนี้: กลาง (วันที่ 6)
          เราประเมินทิศทางของ SET INDEX วันนี้เกิด Technical rebound เพื่อทดสอบด่าน 1,495-1,500 จุด จากข่าวล่าสุด Deutsche Bank สามารถตกลงกับฝ่ายยุติธรรมของสหรัฐฯ เกี่ยวกับค่าปรับจากที่ถูกเรียกค่าเสียหาย US$1.4 หมื่นล้าน ลงมาเป็น US$5.4 พันล้าน ทำให้ DJIA วันศุกร์ปิดบวกเด่น เชื่อว่าตลาดหุ้นในเอเชียวันนี้จะตอบรับในเชิงบวกเช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ตาม เราแนะนำให้นักลงทุนติดตามมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน หากกลับมาเบาบางระหว่าง 3.0-4.0 หมื่นล้าน/วัน อาจทำให้ความผันผวนของ SET INDEX โดยรวมกลับมาอีกครั้ง หลังสิ้นสุด Window Dressing
          สำหรับภาพรวมเศรษณฐกิจไทยเดือนส.ค. ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ ปานกลางถึงบวกเล็กน้อย กำลังซื้อภายในประเทศดีขึ้นต่อเนื่อง ราคาสินค้าเกษตรฟื้นตัว น่าจะส่งผลเป็นบวกต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนใน 3Q59 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธนาคาร อย่าง KBANK ที่สัญญาณ NPLs ของกลุ่ม SMEs น่าจะแตะระดับสูงสุดในไตรมาส 3 นี้
กลยุทธ์การลงทุน “รอขายทำกำไรบริเวณ 1,495-1,500 จุด หรือปรับไปสู่หุ้นขนาดกลางที่แนวโน้มผลการดำเนินงานเด่น”

Strategy of the Day          
          1. เก็งกำไร KBANK : ราคาปิด 187.50 บาท ราคาเหมาะสม 206.00 บาท
          a) MBKET คาดว่ากำไรสุทธิ 3Q59 จะโตทั้ง yoy และ qoq เป็น 1.05 หมื่นล้านบาท +4.3% yoy และ +11.9% qoq จากการตั้งสำรองที่ลดลง -16.5% yoy และ -28.1% qoq เหลือ 6.2 พันล้านบาท และเชื่อว่าจะเป็นสัญญาณบวกว่า NPL กำลังจะผ่านพ้นจุด Peak ใน 3Q59 
          b) คงมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการ 2H59 หลังเข้าประชุมกับผู้บริหารในวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยคาดว่า KBANK จะตั้งสำรองทั้งปี 2559 ราว 3.2 หมื่นล้านบาท ดังนั้น เมื่อเทียบกับการตั้งสำรองแล้ว 2.0 หมื่นล้านบาทใน 1H59 สะท้อนให้เห็นว่าการตั้งสำรองจะลดลงอย่างมาก yoy ใน 3Q59 และ 4Q59 
          c) คาดกำไรสุทธิปี 2560 เติบโต +35% yoy เป็น 5.1 หมื่นล้านบาท จากสินเชื่อที่คาดว่าจะกลับมาขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการตั้งสำรองจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติตามคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น ขณะที่ Valuation ไม่แพงซื้อขายระดับ PBV2560 ที่ 1.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังที่ราว 1.8-2.0 เท่า            
          2. สะสม GPSC : ราคาปิด 36.50 บาท ราคาเหมาะสม 38.00 บาท
          a) MBKET ประเมินว่าหุ้นกลุ่ม Defensive เช่น ธุรกิจโรงไฟฟ้าจะเป็นที่พักเงินได้ดี เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวน 
          b) ทิศทางกำไรสุทธิ 3Q59 คาดว่าจะเติบโตทั้ง  yoy และ qoq จากการรับรู้รายได้เงินปันผลของ RPCL รวมทั้งเป็นไตรมาสแรกที่รับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า NNEG เต็มไตรมาส 
          c) คาดกำไรสุทธิปี 2559 เติบโต +17.5% yoy เป็น 2,500 ล้านบาท ต่อเนื่อง +12.2% ในปี 2560 และโครงการไซยะบุรีในปี 2561 จะผลักดันให้กำไรสุทธิปี 2561 เร่งตัวขึ้นอีก +23.2% yoy เป็น 3,457 ล้านบาท และเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในเกณฑ์ดีราว 3.5% ต่อปี  

Fund Flow Analysis

Fund Flow in Emerging Markets
          กลับมาขายสุทธิอีกครั้ง US$322 ล้าน จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ US$664 ล้าน  
          ทั้งนี้ต่างชาติขายตลาดหุ้นไทยตลาดเดียวใน TIP

Foreign Investors Action วานนี้
          ต่างชาติขายทำกำไรทั้ง 3 ตลาด แต่เพียงเล็กน้อย 
          นักลงทุนต่างชาติ คงการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 เพียง 558 ล้านบาท รวม 2 วันทำการขายสุทธิ 1,849 ล้านบาท และทำให้ YTD ต่างชาติซื้อสุทธิลดลงเล็กน้อยเป็น 132,480 ล้านบาท
          ด้าน SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมา Short สุทธิเป็นวันแรกในรอบ 9 วันทำการ เพียง 1,240 สัญญา เทียบกับ 8 วันทำการก่อนหน้า Long สุทธิมากถึง 46,735 สัญญา คาดว่าจะเป็นทยอยปิดสถานะ Long เพียงเล็กน้อย เนื่องจาก S50Z16 กลับมาปิดสูงกว่า SET50 Index อีกครั้ง เท่ากับ 0.88 จุด จากวันก่อนหน้า Discount เท่ากับ 0.31 จุด ทำให้ยอด QTD นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Long สุทธิลดลงเล็กน้อยเป็น 29,187 สัญญา
          และนักลงทุนกลุ่มนี้ กลับมาขายสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันขายเป็นวันแรกในรอบ 10 วันทำการ เพียง 2,038 ล้านบาท เทียบกับ 9 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิมากถึง 57,593 ล้านบาท ราคาพันธบัตรไทยขยับขึ้นเป็นวันที่ 3  ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรไทย อายุ 10 ปี ผลตอบแทนลดลงอีก 2.51bps จากวันก่อนหน้าลดลงเพียง 0.14bps ปิดที่ 2.107%

Short-Selling วานนี้ 
          ลดลงเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 1,055 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 1,404 ล้านบาท และ SBL กระจายตัว 77 ตัว จากวันก่อนหน้า 66 ตัว           

NVDR Movement
          NVDR กลับมาซื้อสุทธิเล็กน้อย โดยเป็นการปรับน้ำหนักระหว่างกลุ่มหลัก และกลุ่มรอง
          การซื้อขายผ่าน NVDR กลับมาซื้อสุทธิเพียง 237 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิมากถึง 1,236 ล้านบาท ทั้งนี้ NVDR ปรับน้ำหนักระหว่างกลุ่มหลักและกลุ่มรอง โดยซื้อสุทธิกลุ่มธนาคารสูงสุด 533 ล้านบาท และกลุ่มพลังงาน 314 ล้านบาท แต่ลดน้ำหนักกลุ่มปิโตรเคมี ขายสุทธิ 250 ล้านบาท กลุ่มขนส่ง 178 ล้านบาท และกลุ่มโรงพยาบาล 173 ล้านบาท

ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ – การเงินรายภูมิภาค

สหรัฐอเมริกา
          ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาเป็นกลางถึงบวกเล็กน้อย
          - รายได้ส่วนบุคคลเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 0.2% mom เท่ากับ Bloomberg consensus คาด แต่ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้า +0.4% mom
          - รายจ่ายส่วนบุคคลเดือนส.ค. ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า แย่กว่า Bloomberg consensus คาด +0.2% mom และเดือนก่อนหน้า +0.4% mom เป็นผลจากยอดการใช้จ่ายสินค้าคงทนที่ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดการซื้อรถยนต์ที่อ่อนแอ
          - ดัชนี Consumer sentiment เดือนก.ย.เท่ากับ 91.2 จุด ดีกว่า Bloomberg consensus คาด 90.1 จุด และเดือนก่อนหน้าที่ 89.8 จุด เป็นระดับที่แข็งแกร่งสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.
          Illinois ให้ Wells Fargo หยุดธุรกรรมด้านตราสารหนี้และการลงทุน: ล่าสุดรัฐ Illinoise ตามแนวทางของ California ในการให้ Wells Fargo & CO ให้หยุดธุรกรรมด้านการลงทุน และการเป็นผู้จัดจำหน่ายตราสารหนี้ของรัฐ หลังบริษัทมีประเด็นความไม่โปร่งใสรายการของลูกค้าหลายล้านบัญชี 

ยุโรป
          ราคาบ้านในอังกฤษเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัว: ราคาบ้านในเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 5.3% yoy ชะลอตัวจากเดือนส.ค.ที่ 5.6% yoy หรือเพิ่มขึ้น 0.3% mom ชะลอตัวจากเดือนส.ค.ที่ +0.6% แต่เป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับ Reuters Poll ทั้งนี้เป็นผลจากความต้องการซื้อบ้านที่ชะลอตัวใน 2-3 เดือนนี้ สอดคล้องกับปริมาณบ้านที่อยู่ในตลาด  
          ธนาคารกลางอิตาลีให้ความสนใจต่อการช่วยเหลือธนาคารพาณิชย์อิตาลี: ผู้ว่าการธนาคารกลางอิตาลี ให้ความเห็นต่อการช่วยเหลือธนาคารพาณิชย์เป็นที่ฉลาดในแนวคิดดังกล่าว แต่อาจยังไม่ใช่สิ่งจำเป็น นอกจากนี้แนวทางการเปิดทางให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นในธนาคารอิตาลีก็ยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความสามารถในการสร้างเสถียรภาพในสถาบันการเงิน
          Deutsche Bank ใกล้ได้ข้อตกลงกับค่าปรับของศาลฯ สหรัฐฯ: สื่อได้รายงานว่า Deutsche Bank ใกล้ได้ข้อสรุปกับค่าปรับที่แผนกยุติธรรม (U.S. Department of Justice: DOJ) ซึ่งน่าจะสรุปที่ US$5.4 พันล้าน จากยอดที่ DOJ เรียกค่าปรับที่ US$1.4 หมื่นล้าน 

จีน
          จีนลดภาษีเครื่องสำอางค์หลังกระทบการบริโภคภายในประเทศ: อัตราภาษีสำหรับเครื่องสำอางค์ที่ไม่ใช่ Luxury จะได้รับการยกเว้น จากเดิมที่มีภาษี 30% ส่วนเครื่องสำอางค์ราคาแพงภาษีส่วนนี้ลดลงเหลือ 15% จาก 30% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 
          จีนอนุมัติเอกชนส่งออกข้าวโพดได้: รัฐบาลจีน อนุมัติให้รัฐวิสาหกิจ 2 บริษัท ได้แก่ Cofco และ Beidahuang ในการส่งออกข้าวโพด เนื่องจากภาวะอุปทานส่วนเกินในจีน เพื่อลดแรงกดดันราคาข้าวโพดในจีน แหล่งข่าวให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงปริมาณการส่งออก 2 ล้านตันข้าวโพดในครั้งนี้

เอเชียแปซิฟิก
          BoJ ยืนยันนโยบายการบริหาร Yield Curve เหมาะสม: ผู้ว่าการ BoJ ยืนยันถึงนโยบายการบริหาร Yield Curve จะทำให้อัตราเงินเฟ้อขยับขึ้นสู่เป้าหมาย 2.0% พร้อมกับส่งสัญญาณอาจลดอัตราดอกเบี้ยในระยะสั้นและระยะยาว หรือขยายวงเงิน QE เพิ่มเติมได้ และหากมีความจำเป็น ก็พร้อมที่จะขยายฐานเงินให้เร็วขึ้นได้เช่นกัน 

ไทย
          ธปท.คาด GDP ใน 3Q59 เติบโตชะลอตัวจาก 2Q59: ธปท. เปิดเผยว่า จากการติดตามการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยใน 3Q59 เชื่อว่าจะขยายตัวได้ต่ำกว่า 2Q59 ที่ขยายตัวได้ 3.5% เนื่องจากไตรมาส 2 มีปัจจัยพิเศษที่ทำให้เศรษฐกิจไทยโตได้เกินความคาดหมาย เช่น มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ ส่วนมาตรการจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรในวงเงิน 6.5 พันล้านบาทที่ผ่านคณะรัฐมนตรีไปนั้น เชื่อว่าจะมีผลเพื่อลดความเสี่ยงในการบริโภคที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงเท่านั้น โดย ธปท.ยังคงประมาณการขยายตัวเศรษฐกิจทั้งปีที่ 3.2%



โดย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ประจำวันที่ 3 ต.ค. 2559
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 03 ต.ค. 2559 เวลา : 11:36:52

24-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 24, 2024, 3:49 pm