ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
กรมสบส.เผยผลสำรวจพบปชช.ส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดว่า 'กินไข่ทำให้แผลปูด เป็นแผลเป็น'


 


กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เผยผลสำรวจปี 2559 พบว่าประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ ยังเข้าใจวิธีการดูแลบาดแผลไม่ถูกต้อง โดยร้อยละ 60 เข้าใจผิดว่ากินไข่แล้วทำให้แผลปูดเป็นแผลเป็น  โดยพบในคนภาคเหนือมากที่สุด ร้อยละ 74 รองลงมาภาคกลางร้อยละ 69   ภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 62  กทม.และปริมณฑลร้อยละ 55  กลุ่มอายุที่เชื่อมากที่สุดคืออายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไปร้อยละ 68

นายแพทย์ประภาส จิตตาศิรินุวัตร รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรมสบส.) กระทรวงสาธารณสุข  ให้สัมภาษณ์ว่า ในปีงบประมาณ 2560 นี้ กรมสบส.มีนโยบายเร่งเผยแพร่ความรู้สุขภาพแก่ประชาชนนำไปใช้ปฏิบัติดูแลตัวเองและครอบครัวให้มีสุขภาพดี ซึ่งปัญหาการเจ็บป่วยของคนไทยขณะนี้ส่วนหนึ่งเกิดมาจากความเชื่อที่ถ่ายทอดกันต่อๆกันมา  ซึ่งการปฏิบัติตามความเชื่อจะทำให้บุคคลมีความมั่นใจและรู้สึกปลอดภัย  ถ้าต้องฝืนปฏิบัติในสิ่งที่ขัดกับความเชื่อ  จะรู้สึกไม่ปลอดภัย เกรงว่าจะเป็นอันตราย  จึงไม่ส่งผลดีต่อการรักษาของแพทย์

นายแพทย์ประภาส กล่าวว่า กรมสบส.ได้ดำเนินการสำรวจความเชื่อด้านสุขภาพของประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯปริมณฑลและ 4 ภาค จำนวน 501 คนในเดือนตุลาคม พ.ศ.2559   เกี่ยวกับการดูแลรักษาบาดแผลทั่วๆไป ผลปรากฏว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ60 มีความเชื่อผิดๆว่าการรับประทานไข่ ทำให้แผลปูดและเป็นแผลเป็น  ผู้หญิงเชื่อร้อยละ 61 ส่วนผู้ชายเชื่อร้อยละ 58 กลุ่มอายุที่มีความเชื่อเรื่องนี้มากที่สุดได้แก่กลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไปร้อยละ 68 โดยผู้มีระดับการศึกษาต่ำจะมีความเชื่อเรื่องนี้สูง กล่าวคือระดับการศึกษาประถมศึกษาเชื่อมากที่สุดร้อยละ 63  รองลงมาคือมัธยมศึกษา ร้อยละ 60  ขณะที่ผู้จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีเชื่อร้อยละ 46 ภาคที่มีความเชื่อสูงสุดได้ภาคเหนือร้อยละ 74 รองลงมาคือภาคกลางร้อยละ 69  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 62 กรุงเทพฯ/ปริมณฑล ร้อยละ 55  ส่วนภาคใต้มีความเชื่อต่ำสุดคือร้อยละ 39   

นายแพทย์ประภาส กล่าวต่อว่า หัวใจสำคัญของการดูแลบาดแผลทุกชนิดไม่ว่าแผลถลอก แผลเล็ก แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกและแผลผ่าตัด มี 2 ประการคือ 1.การรักษาความสะอาดแผล ป้องกันการติดเชื้อโรค และ2.การบำรุงร่างกายด้วยอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น โดยสารอาหารที่ช่วยให้บาดแผลหายเร็วขึ้นได้แก่1.โปรตีน ซึ่งมีอยู่ในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ นม  ไข่ รวมถึงถั่วเหลือง ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น โปรตีนจะช่วยสร้างเนื้อเยื่อทำให้เซลล์แต่ละเซลล์ ประสานยึดติดเป็นเนื้อเดียวกัน  2. วิตามินซี ซึ่งมีมากในผลไม้สดทุกชนิดพบมากในฝรั่ง มะละกอ ส้มต่างๆ และยังพบในผักเช่นบร็อคโคลี่ พริกหวานสีแดง   วิตามินซีจะทำหน้าที่สร้างผนังของเซลล์ ทำให้เส้นเลือดฝอยมีความแข็งแรงและไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ และยังช่วยในการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น ทำให้บาดแผลหายเร็วขึ้นและ3.ธาตุสังกะสี ซึ่งพบมากในเนื้อสัตว์ นม ไข่ ตับ ถั่วเหลือง ช่วยให้เซลล์จับกับวิตามินกระตุ้นให้แผลหายเร็วขึ้น ดังนั้นไข่จึงไม่ใช่อาหารแสลงหรืออาหารต้องห้ามอย่างที่เข้าใจกันแต่อย่างใด

ส่วนแผลเป็นที่ปูดโต ไม่ได้เกี่ยวกับการกินไข่แต่อย่างไร แต่เป็นธรรมชาติของเนื้อหนังของแต่ละบุคคลซึ่งมีความแต
กต่างกัน  โดยกรม สบส.ได้ให้ อสม.ให้ความรู้ประชาชนตามหมู่บ้านต่างๆ ผ่านทางหอกระจายข่าวต่อไป อย่างไรก็ตามในการดูแลบาดแผลทั่วไป ขอแนะนำให้ประชาชนทำความสะอาดแผลทุกวัน  หลีกเลี่ยงไม่ให้แผลสกปรกหรือเปียกน้ำเพราะอาจทําให้แผลเกิดการอักเสบได้ และควรสังเกตลักษณะบาดแผล หากแผลบวม แดง ร้อน สีของบาดแผลเปลี่ยนไป มีหนอง ควรรีบไปพบ อสม.หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อดูแลรักษาต่อไป                      
 
     

บันทึกโดย : วันที่ : 27 พ.ย. 2559 เวลา : 11:54:45

18-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 18, 2024, 5:42 pm