ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน ราคาน้ำมันพุ่งช่วยประคอง SET (10/05/61)


 “ราคาน้ำมันพุ่งช่วยประคอง SET”

• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
  ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปรับลง 3.35 จุด มายืนที่ 1756.9 จุด มูลค่าการซื้อขายปานกลางที่ 59.5 พันล้านบาท มีแรงขายหุ้นกลุ่ม สื่อสาร ธนาคาร และพาณิชย์ แม้หุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรช่วยพยุงไว้ ซึ่งถือว่าฟื้นตัวหลังทรัมป์คว่ำบาตรอิหร่าน ผู้นำซื้อสุทธิคือนักลงทุนรายย่อย ด้านการขายสุทธิคือนักลงทุนต่างชาติและสถาบัน
 แนวโน้มและกลยุทธ์– สถานการณ์ระยะสั้นกลับมาดีขึ้นจากราคาน้ำมันที่กลับมาสูงขึ้น หลังทรัมป์คว่ำบาตรอิหร่าน ช่วยผลักดันหุ้นกลุ่มพลังงานแต่การที่พันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีที่ผลตอบแทนแตะ 3%ดัชนีดอลลาร์สหรัฐที่ทำ New High แม้เมื่อคืนอ่อนลงบ้าง หลังตัวเลข PPI สหรัฐฯอ่อนและเรื่องการกีดกันทางการค้าที่ไม่แน่นอนยังคอยกดดันดัชนีฯ ในช่วงที่บาทอ่อนเทียบกับดอลลาร์ จะยิ่งเป็นตัวเร่งให้ต่างชาติขายสุทธิหุ้นบ้านเราแต่กลับมีการเก็งกำไรหุ้นส่งออกที่ได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่าบ้าง ช่วงนี้ยังจับตารายงานกำไรบจ.งวด 1Q61 ซึ่งจะทยอยออกมาถึงกลางเดือนพ.ค. มีการเปรียบเทียบกับประมาณการ (Preview) ที่ระยะนี้มีการรายงานออกมาต่อเนื่อง ในสัปดาห์นี้ ยังคงกลยุทธ์เน้นหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ ระยะสั้นมีกำไร 1Q61 ออกมาดี หรือมี Catalyst เฉพาะตัว ตามบทวิเคราะห์ DBS ส่วนหลักทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานออกมาต่ำกว่าคาด ก็เป็นแรงจูงใจให้มีการปรับลดคำแนะนำได้ จึงต้องคอยติดตาม ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบที่อ่อนลงมาเป็น 1750-1790 จุด
  Update กลุ่มและหุ้น : KKP –จุดเด่นคือ ธุรกิจมั่นคง สินเชื่อปี 61 มีแนวโน้มเติบโตได้ดีขึ้นตามเศรษฐกิจ ธุรกิจตลาดทุนที่ดำเนินการโดยภัทรก็มีฐานลูกค้า HMW ที่แข็งแกร่งและมีดีลวาณิชธนกิจในมือจำนวนมาก ธนาคารจ่ายปันผลดี คาดการณ์อัตราผลตอบแทนปันผลปีนี้สูงเป็น 7.5% สำหรับผลกระทบจากการใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9 ต้นปี 62 ไม่มาก เพราะสัดส่วนสินเชื่อ 50% เป็นสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งตั้งสำรองตามหลัก collective approach ที่จะถูกกระทบจาก IFRS9 ไม่มาก แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 88.00 บาท
  การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบต่อ ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯแกว่งแบบลง เพราะระยะกลางมีสภาวะ Overbought+Divergence กดดัน แต่ก็ลุ้นรีบาวด์สั้นๆ ซื้อใหม่เน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1770-1780, 1790 โดยมีแนวรับ 1750-1740
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น KKP, SPALI, SENA, EGCO, COM7, DDD, MTC, PTL ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ BEM, HANA, PLANB หุ้นที่หลุด List GOLD, GLOBAL,TOP,SAMART,TOA และที่ให้หาจังหวะ Take profit เป็น SEAFCO,STPI, MC

ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดน้ำมัน : WTI กลับมาดีดตัวแรง หลังทรัมป์คว่ำบาตรอิหร่าน
  # สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. พุ่งขึ้น 2.08 ดอลลาร์ หรือ 3% ปิดที่ 71.14 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2557 ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 2.36 ดอลลาร์ หรือเกือบ 3.2% ปิดที่ 77.21 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2557
  # สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (9 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศนำสหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านและใช้มาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่ออิหร่านนั้น จะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันดิบในตะวันออกกลาง เนื่องจากอิหร่านเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก
  # อิหร่านเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) โดยอิหร่านส่งออกน้ำมันมากกว่า 2.6 ล้านบาร์เรล/วัน นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า สหรัฐจะประกาศคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันของอิหร่านจำนวน 200,000-1,000,000 บาร์เรล/วัน โดยตลาดจะเริ่มได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรดังกล่าวตั้งแต่ปีหน้า
  # นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้ปัจจัยหนุนหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 2.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 2.2 ล้านบาร์เรลเช่นกัน
+/- วานนี้ดอลลาร์สหรัฐกลับมาอ่อนค่า หลังตัวเลข PPI ซบเซาลง แต่เช้านี้กลับมาแข็งค่าอีก
  # วานนี้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (9 พ.ค.) หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซา ซึ่งรวมถึงดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ประจำเดือนเม.ย. อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์ได้รับปัจจัยหนุนในระดับหนึ่ง จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่พุ่งขึ้นทะลุระดับ 3%
  # กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ขยับขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นน้อยที่สุดในรอบ 4 เดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนมี.ค. โดยการชะลอตัวของดัชนี PPI ได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของราคาอาหาร
  # ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนมี.ค. แต่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.5%
  # แต่เช้านี้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาเพิ่มค่าอีก 93.156-93.161 และเงินบาทอ่อนค่าลงเป็น 32.18 บาทต่อดอลลาร์
+/- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์สหรัฐบวก หุ้นพลังงานผลักดัน
  # ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,542.54 จุด พุ่งขึ้น 182.33 จุด หรือ +0.75% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,697.79 จุด เพิ่มขึ้น 25.87 จุด หรือ +0.97% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,339.91 จุด เพิ่มขึ้น 73.00 จุด หรือ +1.00%
  # ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (9 พ.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานหลังจากราคาน้ำมันทะยานขึ้น 3% อันเนื่องมาจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านและเตรียมใช้มาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่ออิหร่าน นอกจากนี้ การดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มเทคโนโลยียังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวกเช่นกัน
• ภาวะตลาดทองคำ : ปรับลง หันไปเก็งกำไรดอลลาร์แทน
  # สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 70 เซนต์ หรือ 0.05% ปิดที่ 1,313 ดอลลาร์/ออนซ์
  # สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (9 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนลดการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 5 โดยได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน นอกจากนี้ การดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐยังสร้างแรงกดดันต่อตลาดทองคำเช่นกัน
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่จะเปิดเผยในสัปดาห์นี้
  # ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนเม.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนเม.ย. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนพ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+/- ราคาน้ำมันขึ้น ส่งผลดีกับกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และโรงกลั่น
  # หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมัน ปิโตรเคมี และโรงกลั่นน้ำมันที่ได้รับผล sentiment ด้านบวกคือ PTT, PTTEP, PTTGC, TOP, ESSO, IRPC, BCP, SPRC แต่กลับเป็นลบกับหลักทรัพย์ที่อิงน้ำมันเป็นวัตถุดิบเช่น TASCO, EPG และเป็นลบกับหลักทรัพย์ขนส่งที่ใช้น้ำมันเป็นต้นทุนเช่น AAV, BA, THAI และ NOK
  # PTTEP: แม้แนะนำ ถือ แต่จากข่าวการเปิดประมูลแหล่งก๊าซคาดว่า หาก PTTEP ได้บงกช และตามสัดส่วนที่ถือเดิมราคาพื้นฐานจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 15.00 บาท ราคาพื้นฐานจะขยับขึ้นเป็น 138.00 บาท จากปัจจุบัน 123.00 บาท และหากได้ 2 โครงการคือเอราวัณด้วย มูลค่าขายจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 33 บาท ราคาพื้นฐานจะขยับขึ้นเป็น 156.00 บาท แต่ในความเป็นจริง โอกาสที่จะได้ถึง 2 โครงการเป็นสิ่งที่ไม่ง่าย และในอนาคตอาจจะมีการร่วมทุนระหว่างกันได้อีก จึงต้องรอผล จึงคาดว่าจะมีการเก็งกำไร PTTEP จากเรื่องนี้
+/- บาทอ่อนเทียบดอลลาร์ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มส่งออกและโรงแรม แต่ส่งผลลบกับผู้นำเข้า
  # หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI และ RCL เป็นต้น
+/- IMF ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจเอเชียแข็งแกร่ง
  # IMF ประเมินภาพรวมของเศรษฐกิจในเอเชียปีนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากการที่ธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มดำเนินนโยบายคุมเข้มทางการเงิน รวมทั้งการที่ตลาดเข้าสู่ระยะพักฐาน และนโยบายกีดกันทางการค้า โดย IMF คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจในเอเชียปีนี้จะขยายตัว 5.6% และเท่ากับปี 62 โดยในระยะสั้นคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจและการค้าทั่วโลกจะ "ขยายตัวแข็งแกร่ง" อันเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในสหรัฐ
+/• IVL: ประกาศงบการเงินไตรมาส 1/61 วันนี้
  # IVL ประกาศงบไตรมาสแรกวันนี้ ลุ้นฟาดกำไรสุทธิ 4,900 ล้านบาท โตขึ้น 10% จาก Q1 ปีก่อน อานิสงส์โรงงานเดินเครื่องผลิตเต็มกำลัง-สเปรดราคาพุ่ง (ข่าวหุ้น)
  # ยังแนะนำ ซื้อ IVL บริษัทมีแนวโน้มเติบโตสดใส โดยปริมาณขายเพิ่มขึ้นได้จากการเข้าซื้อกิจการ อุตสาหกรรม PET ไปได้ดี การ ban พลาสติกรีไซเคิลในจีน และการที่มีผู้ประกอบการ PET รายใหญ่ 2 รายมีปัญหาสภาพคล่องทางการเงินทำให้ต้องหยุดหรือชะลอการผลิตในบางโรงงานก็ช่วยให้ Supply น้อยลง ราคามีโอกาสปรับขึ้น นอกจากนั้นบริษัทก็เร่งเพิ่มสัดส่วน HVA ที่มีอัตรากำไรสูง (โดย EBITDA ของ HVA สูงกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไปกว่า 2 เท่า) ด้วย ผู้บริหารคาดว่า EBITDA จะเพิ่ม 45% จากปี 60 ถึงปี 62 แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 65 บาท อิงกับ P/E ปีนี้ที่ 17.5 เท่า โดยคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติปีนี้จะเติบโต 18%
+ PSH รายงานกำไรสุทธิ 1Q61 โต 27% y-o-y
  # กำไรสุทธิ 1Q61 เป็น 862 ล้านบาท (+27% y-o-y, -50% q-o-q) ถือว่าออกมาสอดคล้องกับคาดการณ์ เราเห็นว่ากำไร 1Q61 ยังเป็นสัดส่วนเพียง 13% จากประมาณการทั้งปี 61 และกำไรจะไปเร่งตัวดีขึ้นใน 2H61 เพราะมีคอนโดหลายโครงการเริ่มโอนได้ แนะนำ ถือ ราคาพื้นฐาน 24.20 บาท


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 10 พ.ค. 2561 เวลา : 09:40:01

25-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 25, 2024, 8:16 pm