ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
บล.ฟินันเซียไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน Sideways Down ต่อเนื่องและยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา (05/09/61)


 กลยุทธ์วันนี้ >> Mid-Small Cap Play//Accumulate on Weakness

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ยังคงแกว่งตัว Sideways Down โดยอ่อนตัวลงมาปิดลบ 6.80 จุด ณ สิ้นวัน เนื่องจากยังคงไร้ปัจจัยบวกใหม่และถูกกดดันจากประเด็นสงครามการค้า สถาบันในประเทศพลิกมาขายสุทธิราว 494 ลบ. ส่วนนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิต่อเนื่องอีกเล็กน้อย 181 พันลบ. (และ Short ใน Index Futures ราว 5.1 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : SET Index คาดว่าจะยังคงแกว่งตัว Sideways Down ต่อเนื่องและยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระตุ้นอย่างชัดเจน ปัจจัยที่ยังกดดันตลาดยังเป็นประเด็นการค้าระหว่างสหรัฐฯและประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนวงเงิน 2 แสนล้านเหรียญ รวมถึงการขู่ว่าจะถอนตัวจาก WTO ซึ่งจากการเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่กว้าง เราจึงคาดว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็กและอยู่ในกลุ่ม Domestic Play น่าจะเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาด โดยมีพื้นฐานรองรับจากเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศที่มีเสถียรภาพ 
กลยุทธ์ : เก็งกำไรหุ้นขนาดกลาง-เล็กในกลุ่ม Domestic Play//ทยอยสะสมหุ้นเพิ่มในช่วงอ่อนตัว
หุ้นเด่นเดือนก.ย. : ASK, CHG, CK, CPALL, PRM  

Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค US$226ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลเข้าไต้หวัน US$165ล้าน ขณะที่ไหลออกจากอินโดนีเซีย US$29ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลออก US$6ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนนมีทิศทางชะลอการไหลเข้าภูมิภาคเพื่อติดตามมาตรการทางภาษีของสหรัฐต่อจีน   

ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> ASAP <<

  • แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปี 2019 เท่ากับ 7.50 บาท
  • กำไร 2H18 มีแนวโน้มสดใสกว่า 1H18 จากการเปิด ASAP Auto Park phase 1 ซึ่งจะทำให้มีรายได้ค่าเช่าและรายได้จากการขายรถมือสองเพิ่มขึ้น เราคาดกำไรสุทธิปีนี้ 158 ลบ. +4.8%Y-Y ก่อนจะโตแรง +37%Y-Y เป็น 217 ลบ.ในปีหน้า จากการรับรู้รายได้ AutoPark เต็มปี และอัตรากำไรของธุรกิจขายรถหมดอายุสัญญาที่ดีขึ้น
  • เราชอบ ASAP ในฐานะผู้นำธุรกิจ Car Sharing และคาด ROE จะพุ่งแตะ 17% ในปี 2020 จากเพียง 11% ในปัจจุบัน ขณะที่ NVDR ซื้อเพิ่มต่อเนื่อง โดยปีนี้ซื้อไปแล้ว 267 ลบ. มากกว่าปีก่อนที่ซื้อเพียง 110 ลบ.

ประเด็นสำคัญวันนี้
  (0) เงินบาทกลับมาอ่อนค่า ตามทิศทางเดียวกับประเทศในกลุ่ม EM เพราะดอลล่าร์กลับมาแข็งและเงินไหลกลับไปหาตลาด DM ที่มีความเสี่ยงด้านตลาดเงินน้อยกว่า ถือเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก เช่นเกษตรอาหาร (CPF, TU) อิเล็กทรอนิกส์ (KCE, SVI) และกลุ่มท่องเที่ยว (MINT, ERW) รวมถึงหุ้นขนาดเล็กอย่าง CMAN MBAX ซึ่งเรามองหุ้นเหล่านี้มีโอกาสได้แรงหนุนระยะสั้น จากประเด็นสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ที่จะทำให้ทั้ง 2 ประเทศมีการนำเข้าสินค้าจากประเทศที่ 3 เช่นไทยแทน
  (0) PTTGC เรากลับมา Reinitiate ด้วยคำแนะนำซื้อ ราคาเหมาะสม 110 บาท อิง EV/EBITDA ที่ 8.3 เท่า เท่ากับค่าเฉลี่ยของกลุ่มปิโตรเคมี หรือคิดเป็น Implied PE 11.5 เท่า ในขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบัน ซื้อขายกันเพียง PE 8.4 เท่า และมีปันผล 5.4% ซึ่งถือว่าถูกเกินไป เมื่อเทียบกับประโยชน์จากการลงทุนที่ใน 2-3 ปีข้างหน้า จากโครงการ Olefins Reconfiguration และ PO/Polyols ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและลดความผันผวนของผลกำไรในระยะยาว ขณะที่ฐานะการเงินแข็งแรงมาก แม้ในระยะสั้นจะมีความกังวลเรื่องผลกำไร 3Q18 ที่ชะลอตัวจากแผนหยุดซ่อมบำรุงและต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้อยู่แล้ว จึงสะท้อนไปในราคาหุ้นแล้วเช่นกัน
  (+) HANA แนวโน้มคำสั่งซื้อใน 2H18 - 2019 ดูแข็งแกร่ง ภายหลังที่ตลาดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เกิดการ Consolidate เมื่อ 12-18 เดือนก่อน และบริษัทได้รับอานิสงส์เชิงบวกโดยได้รับคำสั่งซื้อมากขึ้น กอปรกับได้รับคำสั่งซื้อจากกลุ่มสินค้า Smart Phone ที่เป็นแบรนด์ในจีน คาดจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ 2H18 เป็นต้นไป แม้ล่าสุดจะมีลูกค้า 1 รายในจีนที่ได้รับผลกระทบจาก Trade War แต่สัดส่วนยังน้อยมาก ในทางกลับกัน ลูกค้าได้เริ่มส่งสัญญาณสนใจฐานการผลิตนอกประเทศจีนแล้ว ทำให้บริษัทอยู่ระหว่างขยายกำลังการผลิตโรงงานที่ไทย ส่วนโรงงานที่กัมพูชา ซึ่งยังมีกำลังการผลิตเหลืออยู่มาก ก็ได้รับความสนใจมากขึ้น เราคาดแนวโน้มกำไรสุทธิจะกลับมาดีขึ้นใน 2H18 และต่อเนื่องไปในปี 2019 แต่จากกำไร 2Q18 ที่ต่ำกว่าคาด เราจึงปรับลดกำไรสุทธิปี 2018 ลง 9.8% เหลือ 2,084 ลบ. -27.8% Y-Y และคาดจะกลับมาโตอีกครั้ง +15.2% Y-Y ในปี 2019 เป็น 2,400 ลบ. เราปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2019 ที่ 45 บาท แนะนำซื้อ 
  (+) SYNEX ประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ ทำให้เรามั่นใจกับแนวโน้มการเติบโตใน 2H18 มากขึ้น จากการเปิดตัวสินค้าใหม่ของ Huawei, Samsung, และ Apple และอัตรากำไรขั้นต้นจะกลับมาเร่งตัวขึ้นจากการต่อรองกับ Supplier ซึ่งจะหนุนให้อัตรากำไรสุทธิกลับไปยืนเหนือระดับ 2% ได้อีกครั้ง ส่วนความกังวลในประเด็นการเติบโตอย่างยั่งยืน เรามองว่าทุกวันนี้ SYNEX กำลัง Disrupt ตัวเอง จากการเป็นทั้งผู้จัดการคลังสินค้าและระบบโลจิสติกส์ให้กับ Dealer บางราย ซึ่งถือเป็นงานบริการที่มีความจำเป็นในธุรกิจ eCommerce เมื่อผนวกกับ PE2018-19 ที่ต่ำเพียง 11-13 เท่า เราจึงยังแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปี 2018 เท่ากับ 20 บาท 
  (+) EKH ผู้บริหารปรับเป้ารายได้ปีนี้ขึ้นจากเดิมโต 10% Y-Y เป็นโต 15% Y-Y จากศูนย์ผู้มีบุตรยาก (IVF) ที่โตเร็วกว่าคาด โดยล่าสุดเดือน ก.ค.-ส.ค. มีผู้ใช้บริการเฉลี่ยเดือนละ 20 ราย สูงกว่าเป้าหมายที่เดือนละ 10 ราย ขณะที่ 3Q18 เป็น High Season และเป็นปีที่ฝนตกค่อนข้างเร็วและปริมาณสูง ทำให้มีโรคระบาดค่อนข้างมาก ภาพการเติบโตดังกล่าวถือว่าสอดคล้องกับมุมมองของเราที่คาดว่าประมาณการกำไรปกติปี 2018 มี Upside ราว 10% จากปัจจุบันที่ 92 ลบ. +9.5% Y-Y เราจึงยังคงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 7 บาท และเป็น Top Pick สำหรับโรงพยาบาลขนาดเล็ก

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

ก.ย.

สหรัฐฯ: ดุลการค้า (ก.ค.)

ก.ย.

สหรัฐฯ: พิจารณาจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ, ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนของ ADP (ส.ค.)

ก.ย.

สหรัฐฯ: ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร (ส.ค.)

ก.ย.

จีน: ดุลการค้า (ส.ค.)

25 ก.ย.

สหรัฐฯ: ประชุม FOMC ตลาดคาดขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 2.25%

  • (-) ตลาดสหรัฐปรับตัวลง จากความกังวลเรื่องสงครามทางการค้า หลังปธ.ทรัมป์ตั้งใจจะขึ้นภาษีสินค้าที่เกี่ยวข้องกับแผน Made in China 2025 เช่น หุ่นยนต์ และ รถยนต์พลังงานทางเลือก ซึ่งตลาดคาดว่าจะยิ่งเพิ่มความรุนแรงของการตอบโต้จากจีนมากยิ่งขึ้น
  • (-) ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลง จากสงครามทางการค้าและปัจจัยในยุโรปเอง หลังอังกฤษและสหภาพยุโรปยังไม่สามารถหาข้อตกลงกันได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ Hard Brexit
  • (-) ตลาดเอเชียเช้านี้ปรับตัวลง จากความกังวลเรื่องค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ที่ยังคงอ่อนค่าลงเรื่อยๆ ล่าสุดค่าเงินของอินโดฯอ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบ 20 ปี นอกจากนี้ สงครามทางการค้าก็ยังเป็นอีกปัจจัยลบต่อตลาด
  • (-) ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 32.80 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
  • (+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้น 0.07 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 69.87 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยปัจจัยที่ต้องจับตาคือฤดูมรสุมที่เริ่มขึ้นแล้ว ซึ่งอาจทวีความรุนแรงมากขึ้นจนกระทบต่อโรงกลั่นในทวีปอเมริกาให้หยุดเดินเครื่องมากกว่าคาด
  • (+) ค่าการกลั่นสิงคโปร์ปรับตัวขึ้น ล่าสุดเคลื่อนไหวอยู่ที่ 6.60 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • () ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ก.ย. ลดลง 7.60 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1192.70 ดอลลาร์/ออนซ์ จากดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น

บันทึกโดย : วันที่ : 05 ก.ย. 2561 เวลา : 09:19:44

26-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 26, 2024, 7:46 pm