ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดเมื่อคืน (22 ม.ค.67) พุ่ง 138.01 จุด ปิดเหนือระดับ 38,000 จุด เป็นครั้งแรก รับอานิสงส์แรงซื้อหุ้นเทคโนฯ


 

ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (22 ม.ค.67) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดเหนือระดับ 38,000 จุด เป็นครั้งแรก ที่ 38,001.81 จุด เพิ่มขึ้น 138.01 จุด หรือ +0.36% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ที่ 4,850.43 จุด เพิ่มขึ้น 10.62 จุด หรือ +0.22% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,360.29 จุด เพิ่มขึ้น 49.32 จุด หรือ +0.32% โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นบริษัทผลิตชิปที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากเมื่อวันศุกร์ ซึ่งรวมถึงหุ้นอินวิเดียที่ดีดตัวขึ้น 0.3% และปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ควินซี ครอสบี นักวิเคราะห์บริษัท LPL Financial ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา กล่าวว่า นักลงทุนรอดูผลประกอบการและการคาดการณ์แนวโน้มรายได้ของบริษัทเทคโนโลยี เพื่อประเมินว่าบริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูงจะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนตลาดได้ต่อไปหรือไม่

ทั้งนี้ บริษัทเน็ตฟลิกซ์, เทสลา, แอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส, อินเทล และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน มีกำหนดเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ ส่วนบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อีกหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงไมโครซอฟท์ และแอปเปิ้ล จะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์หน้า

หุ้นเมซีส์ อิงค์ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้นกว่า 3% หลังจากเมซีส์ปฏิเสธข้อเสนอการเทคโอเวอร์กิจการจากบริษัทอาร์คเฮาส์ แมเนจเมนท์ในวงเงิน 5.8 พันล้านดอลลาร์

หุ้นกิลเลียด ไซแอนเซส (Gilead Sciences) ผู้ผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 10.2% หลังจากผลการทดลองครั้งล่าสุดบ่งชี้ว่า ยา “Trodelvy” ของบริษัทกิลเลียดไม่สามารถรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก (Non-small Cell Lung Cancer – NSCLC)

นอกเหนือจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนแล้ว นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 4/2566 ในวันพฤหัสบดีที่ 25 ม.ค.นี้ และจะเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนธ.ค.ในวันศุกร์ที่ 26 ม.ค.

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า GDP ไตรมาส 4/2566 ของสหรัฐจะขยายตัว 2.0% หลังจากมีการขยายตัว 2.2%, 2.1% และ 4.9% ในไตรมาส 1, 2 และ 3 ตามลำดับ

นอกจากนี้ คาดว่าดัชนี PCE ทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือนธ.ค. และคาดว่าดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 3.0% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 23 ม.ค. 2567 เวลา : 11:20:24

01-05-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ May 1, 2024, 3:10 pm