
เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับภาคการส่งออกไทย ที่ล่าสุดมีการขยายตัวมากกว่า 10% ซึ่งนับว่าเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 10 เดือนติดต่อกัน อีกทั้งการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐในเดือนเดียวกันนั้นก็ยังมีการขยายตัวอยู่ แม้จะมีความกังวลด้านนโยบายภาษีของทรัมป์ก็ตาม แต่หากพิจารณาลึกลงไปเมื่อเทียบกับภาคการผลิตในประเทศแล้ว กลับพบว่ามีการเติบโตที่สวนทางกัน จึงมีข้อสังเกตว่าแท้จริงแล้ว คนที่ได้ประโยชน์ อาจจะไม่ใช่บริษัทสัญชาติไทย แต่เป็นการสวมสิทธิ์จากทุนต่างชาติที่เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในไทยมากกว่า
การส่งออกถือได้ว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจไทย เพราะคิดเป็นสัดส่วนกว่า 70% ของ GDP และจากที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องภายใต้โครงสร้างที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก หากแต่สัญญาณล่าสุดเริ่มสะท้อนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ นับตั้งแต่ปี 2567 จากข้อมูลของภาคการส่งออกไทย ที่เปิดเผยว่าภาคการส่งออกไทยเติบโต 5.8% แต่ภาคการผลิตอุตสาหกรรมยังคงหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
ส่วนในปี 2568 นี้ มูลค่าการส่งออกล่าสุดเดือน เม.ย. พบว่า มีมูลค่าสูงถึง 25,625.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเติบโต 10.2% ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 แต่ภาคการผลิตอุตสาหกรรมเติบโตไม่ถึง 2% สอดคล้องกับที่ทางสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/2568 ว่า ปริมาณการส่งออกสินค้า ขยายตัว 13.8% โดยมูลค่าการส่งออกขยายตัวถึง 15% สูงสุดในรอบ 13 ไตรมาส หากแต่การขยายตัวนี้ไม่ได้สะท้อนถึงการฟื้นตัวตามของการผลิตอุตสาหกรรม ที่เติบโตเพียง 0.6% โดยมีสาเหตุหนึ่งมาจากการที่หลาย ๆ โรงงานมีรายได้หดตัว ร้ายแรงที่สุดก็ถึงกลับต้องปิดตัวลง โดยเฉพาะโรงงานเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน ยานยนต์ หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ นั้นได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยอัตราการผลิตยังคงต่ำลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ที่กำลังการผลิตอยู่ที่ 60.93% ต่ำกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 61.05% และยังต่ำกว่าเกณฑ์กำลังการผลิตที่ดีในอัตรา 80% อีกด้วย
ทั้งนี้รายงานของสภาพัฒน์ ยังระบุถึงข้อมูลเพิ่มเติมถึงอุตสาหกรรมของไทยยังเจอกับแรงกดดันเพิ่มเติมจากปัจจัยภายนอก ซึ่งก็คือมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐ และการทะลักเข้าของสินค้าจีนในหลายหมวดหมู่ โดยเฉพาะวัตถุดิบชั่วคราวและสินค้าชั้นกลาง ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยที่มีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า ทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้ โดยเฉพาะ SME รายเล็ก ๆ ที่สู้สินค้านำเข้าที่ราคาถูกกว่าอย่างมากไม่ได้ เนื่องจากในภาพรวมราคาสินค้านำเข้าจากจีนมีราคาต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย ประมาณ 20-40% เลยทีเดียว
ด้านธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ ADB มีการวิเคราะห์ว่า ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนมูลค่าเพิ่มจากการส่งออกสินค้าของไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน ขณะที่สัดส่วนมูลค่าเพิ่มจากต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในบางอุตสาหกรรมของไทยก็ยังมีการพึ่งพาอุตสาหกรรมจากต่างประเทศมากกว่าครึ่งของกระบวนการผลิต มีความจำเป็นต้องนำเข้า Raw Materials เพื่อเอามาผลิตในประเทศ ทำให้ต้นทุนสินค้าสูงเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์เคมี โลหะพื้นฐาน และเครื่องจักรต่าง ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข้อสังเกตอีกว่า ตัวเลขการส่งออกที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้ง ๆ ที่ภาคการผลิตอุตสาหกรรมไทยดูจะไม่ได้รับประโยชน์ตามไปด้วย แท้จริงผลประโยชน์ไปตกอยู่ที่บริษัทต่างชาติที่เข้ามาตั้งโรงงานในประเทศไทย แล้วเอาสินค้าของตนส่งออกไปในนามของการส่งออกไทย เป็นรูปแบบของการสวมสิทธิ์ ที่มิหนำซ้ำแล้วบริษัทเหล่านี้ อาจไม่ได้จ้างงานคนไทย ไม่ใช้วัตถุดิบของไทย รวมถึงไม่ใช้โลจิสติกส์ของไทยอีกด้วย
ความบิดเบี้ยวทางโครงสร้างเศรษฐกิจนี้ กำลังชี้ให้เห็นถึงความไม่สมดุลระหว่างภาคการค้าและการผลิต ที่การส่งออกสินค้าไทยไม่ได้ขับเคลื่อนผ่านการผลิตในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไป และยังมีปัญหาหลักที่ภาคการผลิตไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ อีกทั้งยังมีแนวโน้มต้องพึ่งพาการนำเข้าปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยขาดความยั่งยืนในระยะยาว
ดังนั้น ภาครัฐมีความจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับนโยบายในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากปัจจัยการผลิตในประเทศอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการทบทวนสิทธิประโยชน์ที่มอบให้กับนักลงทุนต่างชาติ เพื่อให้เกิดการถ่ายทอด Know-how รวมถึงเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะในกลุ่ม SME และ Start up ซึ่งเป็นแหล่งจ้างงานหลักของแรงงานในไทย อันทำให้เกิดสินค้าเชิงนวัตกรรมใหม่ ๆ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับประสิทธิภาพอุตสาหกรรมการผลิตให้กับไทยอย่างยั่งยืนอีกครั้ง
ข่าวเด่น