Special Report : "แรงงานกัมพูชา" สำคัญหรือไม่? มีบทบาทแค่ไหนกับเศรษฐกิจไทย


สำหรับข้อพิพาททางดินแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ที่กำลังปะทุความขัดแย้งบนโลกออนไลน์เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นั้น ทำให้ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ความเสี่ยงที่จะขาดแคลนแรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะแรงงานชาวกัมพูชา ซึ่งเป็นฟันเฟื่องสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทย หากแรงงานกัมพูชาหายไป ก็เป็นไปได้ว่าอุตสาหกรรมหลักของไทยจะเกิดการหยุดชะงัก อันส่งผลให้ GDP ไทย สูญเสียเม็ดเงินกว่า 2.2 ล้านบาท เลยทีเดียว
 
ประเทศไทยมีปัญหาขาดแคลนแรงงาน และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ไทยจึงมีความจำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะงานที่ใช้แรงงานกายมากกว่าใช้ทักษะทางฝีมือ หรืองาน 3D (Dirty, Dangerous, Difficult) ที่คนไทยมักไม่นิยมทำ เช่น งานก่อสร้าง เก็บผักในไร่ จับปลา และงานทำความสะอาดต่าง ๆ โดยหากอ้างอิงข้อมูลจากมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชน และการพัฒนา (มสพ.) ปี 2567 จะพบว่า เศรษฐกิจไทยมีการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติที่ได้รับอนุญาตเข้ามาทำงานในไทยอยู่ที่ 3.2 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 8.4% จากแรงงานไทยจำนวน 39 ล้านคน หรือ 91.6% สอดคล้องกับข้อมูลของสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ที่รายงานว่า ประเทศไทยมีแรงงานข้ามชาติเพิ่มขึ้นสูงเรื่อยๆ จากที่มีจำนวน 1,525,975 คน ในปี 2553 ขยับขึ้นมาเป็น 3,289,536 คน ในปี 2567 ซึ่งจังหวัดที่มีแรงงานข้ามชาติมากที่สุด จากฐานข้อมูลไตรมาส 1/2567 ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 774,587 คน สมุทรสาคร 288,977 คน สมุทรปราการ 233,743 คน ชลบุรี 198,133 คน และปทุมธานี 178,679 คน นอกจากนั้นก็ยังมีกระจายตัวอยู่ที่เชียงใหม่ นนทบุรี นครปฐม สุราษฎร์ธานี และ ภูเก็ต ตามลำดับ
 
โดยสัดส่วนของแรงงานกัมพูชา ในช่วงไตรมาส 1/2567 ธุรกิจไทยมีการใช้แรงงานกัมพูชาที่ถูกกฎหมายกว่า 430,000 คน ส่วนช่วงเดือนเม.ย. 2568 พบว่า มีการขยับขึ้นเป็น 516,321 คน มากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากแรงงานเมียนมา หรือคิดเป็นประมาณ 15% ของแรงงานต่างด้าวทั้งหมด ซึ่งพบว่าแรงงานกัมพูชาอยู่ในอุตสาหกรรมก่อสร้างมากที่สุด รองลงมา คือ กิจการต่อเนื่องการเกษตร บริการทั่วไป เกษตรและปศุสัตว์ และผลิตหรือจำหน่ายอาหารเครื่องดื่ม
 
ข้อมูลข้างต้น สอดคล้องกับทางสำนักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรสาคร (จังหวัดที่มีแรงงานข้ามชาติมากสุดเป็นอันดับ 2 ของไทย) ที่รายงานถึงจำนวนแรงงานข้ามชาติล่าสุด ณ วันที่ 22 พ.ค. 2568 พบว่า มีจำนวนมากกว่า 300,000 คน โดยอันดับ 1 คือ ชาวเมียนมา รองลงมา คือ กัมพูชา และลาว โดยแรงงานสัญชาติกัมพูชา มีจำนวนทั้งสิ้น 8,406 คน แบ่งออกเป็น แรงงาน MOU 2,127 คน แรงงานที่มีการต่อใบอนุญาตทำงาน 4,532 คน และแรงงานที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมายอีก 1,747 คน
 
ทั้งนี้ ทางกระทรวงแรงงานและการฝึกอบรมวิชาชีพของกัมพูชา กลับเปิดเผยข้อมูลที่ต่างออกไปว่า ปัจจุบันมีแรงงานชาวกัมพูชาที่อาศัยและทำงานในประเทศไทยมากกว่า 1.2 ล้านคน โดยส่วนหนึ่งไม่ได้เป็นแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย อีกทั้งยังระบุว่า คนงานกัมพูชาในไทยและมาเลเซีย ได้ค่าจ้างประมาณ 14,600 บาทต่อเดือน คิดเป็นแรงงานกัมพูชาที่ทำงานในไทยสร้างรายได้รวมกว่า 210,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
 
ดังนั้น หากแรงงานของกัมพูชา ที่มีจำนวนมากสุดเป็นอันดับ 2 ของแรงงานข้ามชาติทั้งหมด หรือกว่า 5 แสน - 1 ล้านกว่าคนนั้นหายไป เนื่องจากประเด็นข้อพิพาททางดินแดน ที่อาจมีการปิดด่านชายแดนอย่างถาวร การปรับลดวีซ่า หรือการกดดันทางการเมืองของทั้งสองฝ่าย จนทำให้แรงงานกัมพูชาทำงานที่ไทยต่อไปไม่ได้ ก็จัดว่ามีผลกระทบอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย ที่ทางสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ประเมินว่า การขาดแคลนแรงงานข้ามชาติ อาจทำให้ GDP ของไทย สูญเสีย 2.8 - 4.5% หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายถึง 1.4 - 2.2 ล้านล้านบาท อันเป็นผลจากการชะลอตัวของภาคเศรษฐกิจที่พึ่งพาแรงงานข้ามชาติ เช่น ภาคเกษตรกรรม การก่อสร้าง การประมง และงานภาคบริการ (แม่บ้านทำความสะอาด, พนักงานกวาดถนน)
 
นอกจากนี้ โดยปกติแล้วโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย มักอยู่ในสภาวะเงินเฟ้อต่ำ พิจารณาจากช่วงสถานการณ์เงินเฟ้อจากทางสหรัฐ ที่ผลักดันให้เศรษฐกิจโลกรวมถึงไทยมีเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นในปี 2565 เงินเฟ้อของไทยลดกลับเข้ามาอยู่ในกรอบได้ในระยะเวลาเพียง 7 เดือน อีกทั้งตั้งแต่ช่วงกลางปี 2566 เป็นต้นมาเงินเฟ้อไทยมีระดับต่ำเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเสียด้วยซ้ำ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากการที่ตลาดแรงงานไทยมีความยืดหยุ่นสูง กล่าวคือ ไทยมีการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ ที่มีอุปทานแรงงานข้ามชาติในระดับสูง ตลาดแรงงานในไทยจึงไม่มีความตึงตัวจนทำให้เกิดแรงกดดันด้านค่าจ้าง (สังเกตได้จากช่วงวิกฤตโควิด-19 ค่าจ้างแรงงานของไทย ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นเร็วเหมือนกับประเทศอื่น ๆ ที่เผชิญกับภาวะเงินเฟ้อสูงค้างนานกว่า) ผู้ประกอบการจึงไม่จำเป็นต้องแบกรับต้นทุนที่สูง และไม่จำเป็นต้องส่งผ่านไปยังผู้บริโภค
 
ดังนั้น การที่ฟันเฟื่องของเศรษฐกิจไทย หรือแรงงานกัมพูชาหลุดออกไปจากจำนวนแรงงานข้ามชาติทั้งหมด ก็สามารถส่งผลให้ธุรกิจรายเล็กไปจนถึงรายใหญ่ของไทยได้รับผลกระทบ เพราะธุรกิจไม่สามารถทดแทนแรงงานที่ทำงานหนัก และงานเสี่ยงอันตรายในอัตราค่าจ้างเท่าเดิมได้ หากคิดจะจ้างคนไทยมาแทนที่ และก็ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าจะสามารถหาจำนวนแรงงานได้เท่ากับจำนวนแรงงานชาวกัมพูชาที่เสียไป ความเสี่ยงตรงนี้เป็นแรงกดดันด้านต้นทุนแก่ธุรกิจ ซึ่งผลักดันให้ไทยอาจมีปัญหาด้านค่าครองชีพที่สูงขึ้น กระทบต่อทั้งภาคการบริโภค การลงทุน และเศรษฐกิจไทยโดยรวม
 
อย่างไรก็ตาม ไทยก็ไม่ได้พึ่งพากัมพูชาฝ่ายเดียว เพราะแรงงานกัมพูชาก็พึ่งพาไทยในฐานะเป็นแหล่งทำงานทำเงิน และส่งเงินที่ได้กลับสู่บ้านเกิดของตัวเองเช่นกัน ซึ่งทางกระทรวงแรงแรงงานและการฝึกอบรมวิชาชีพของกัมพูชาเองนั้น ก็รายงานว่าในปี 2567 ชาวกัมพูชากว่า 1.38 ล้านคนที่ทำงานในต่างประเทศ ได้ส่งเงินกลับบ้านประมาณ 107,675 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ แรงงานกัมพูชามาอยู่ที่ไทยมากสุดเป็นอันดับ 1 ถึง 1.2 ล้านคน (รองลงมา คือ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ จีน และซาอุดีอาระเบีย) ดังนั้น แรงงานเหล่านี้นอกจากเป็นฟันเฟื่องของเศรษฐกิจไทย ก็ยังหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจฐานรากของกัมพูชาอีกด้วย ความบาดหมางของข้อพิพาทจึงเสี่ยงที่จะสร้างผลกระทบทางลบกับทั้งสองฝ่าย หากยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงอย่างสันติร่วมกันได้

LastUpdate 15/06/2568 22:04:09 โดย : Admin
กลับหน้าข่าวเด่น
16-06-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ June 16, 2025, 10:36 am