ไทยนับว่าเป็นประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบมาตั้งแต่ปี 2566 โดยมีประชากรผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) มากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด และมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับเด็กเกิดใหม่ที่มีอัตราการเกิดน้อยลง ขณะเดียวกันประชากรวัยทำงาน ที่ป้อนเข้าสู่ตลาดแรงงานไทยก็มีทิศทางที่ลดต่ำลง เนื่องจากธุรกิจมีการลดการจ้างงานลง และเน้นหนักที่จะพิจารณาไม่รับเด็กจบใหม่มากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่มีปัญหาฝังลึกอยู่ในระบบมาอย่างยาวนานและไม่ได้รับการแก้ไข จนกลายเป็นระเบิดเวลาที่เริ่มเห็นสัญญาณอย่างชัดเจนขึ้นในปัจจุบัน
สำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผย ตัวเลขแรงงานไทยในช่วงไตรมาส 4/2567 ว่าประเทศไทยมีจำนวนประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปอยู่ที่ 59.30 ล้านคน เป็นผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 40.54 ล้านคน (และที่เหลืออยู่นอกกำลังแรงงานประมาณ 18.76 ล้านคน) โดยแบ่งเป็นผู้มีงานทำ จำนวน 40.11 ล้านคน ผู้ว่างงาน จำนวน 3.6 แสนคน ซึ่งผู้ว่างงานมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นถึง 8.8% จากปีก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักศึกษาจบใหม่อายุ 20 – 24 ปี ที่ทั้งเคยและไม่เคยทำงานมาก่อน
ทิศทางการจ้างงานที่ลดลงนั้นสอดคล้องมาถึงไตรมาสแรกของปี 2568 อ้างอิงข้อมูลจากทางสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ที่เปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจและสังคมไทยไตรมาส 1/2568 ว่า การจ้างงานมีการปรับตัวลดลง 0.5% เหลือ 39.4 ล้านคน อันเป็นผลจากการลดลงอย่างต่อเนื่องของการจ้างงานภาคเกษตรกรรม ที่ลดการจ้างงานต่อเนื่อง -3.1% ส่วนการจ้างงานภาคการผลิตอุตสาหกรรมเริ่มหดตัวลงเล็กน้อย และธุรกิจ SME ก็มีแนวโน้มว่าจะว่างงานสูงขึ้น จากการปิดตัวของบริษัทที่มากขึ้น ส่วนค่าแรงเฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ที่ 16,246 บาทต่อเดือน -0.8% แรงงานที่เสมือนว่างงานพุ่งขึ้น 14.6% หรือมากถึง 4.3 ล้านคน (โดยแบ่งเป็นผู้เสมือนว่างงานจากภาคเกษตร 1.5 ล้านคน ภาคบริการ 2 ล้านคน และภาคการผลิต 8.2 แสนคน) และมีผู้ว่างงานนานเกิน 1 ปี มากถึง 68,000 คน โดยสัดส่วน 70% พบว่าเป็นผู้ที่มีอายุระหว่าง 24-29 ปี
หากพิจารณาจากข้อมูลข้างต้น จะพบว่า ตัวเลขการจ้างงานที่ลดลงนั้น บุคคลส่วนใหญ่ที่จะถูกเลิกจ้าง หรือเป็นผู้ว่างงาน จะอยู่ในกลุ่มของเด็กจบใหม่และ First Jobber ที่ยังมีประสบการณ์ทำงานไม่มากนัก โดยสาเหตุที่อ้างอิงจากผลสำรวจของสภาพัฒน์ พบว่า ผู้บริหารและนายจ้างกว่า 89% ไม่อยากจ้างงานเด็กจบใหม่ เพราะมองว่าคนกลุ่มนี้ขาดประสบการณ์การทำงานจริง,ไม่มีทักษะที่ตรงกับสายงาน,ทำงานเป็นทีมไม่เก่ง และขาดมารยาททางธุรกิจ โดยบริษัทของตนจะหันไปจ้างงานฟรีแลนซ์ หรือพนักงานที่เกษียณแล้วแทน หรือไม่ก็ปล่อยตำแหน่งงานว่างไว้ดีกว่าจ้างเด็กจบใหม่เข้ามา สอดคล้องกับทางตลาดแรงงานไทย ที่สะท้อนอย่างชัดเจนว่าตำแหน่งงานที่ไม่ต้องการประสบการณ์ มีเพียง 22.3% เท่านั้น ทำให้ ณ ขณะนี้กลุ่มแรงงานอายุน้อยที่จบปริญญาตรีพบว่ามีโอกาสตกงานสูงที่สุด
ซึ่งในบริบทที่ตลาดแรงงานไม่อยากจ้างงานเด็กจบใหม่อย่างชัดเจนนี้ สะท้อนถึงปัญหาลึก ๆ ที่ฝังอยู่ในระบบเศรษฐกิจไทยมาอย่างยาวนาน ลองคิดภาพว่าไทย เหมือนคนที่โตมาถึงจุดหนึ่งแล้ว (ไทยจัดเป็นประเทศที่กำลังพัฒนามาตั้งแต่ปี 2513 จนถึงปัจจุบัน) แต่ค้างอยู่แค่นั้น ไม่โตต่อ เพราะมีกับดักบางอย่างที่ฉุดรั้งอยู่ ซึ่งหลัก ๆ ได้แก่
1. กับดักประเทศรายได้ปานกลาง ที่แม้ไทยหลุดจากความยากจนมาเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางได้แล้ว แต่ก็ยังคงอยู่ตรงสถานะนี้มานานมาก เพราะไทยไม่สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น หรือนวัตกรรมที่เพิ่มมูลค่าได้ ไทยจึงยังคงจัดว่าเป็นประเทศเกษตรกรรม ที่ส่งผลให้รายได้ประชากรโตช้า และคุณภาพชีวิตไม่ก้าวกระโดดสูงมากนัก เนื่องจากไม่ได้อัพสกิลหรือเปลี่ยนงานที่สร้างมูลค่าที่สูงขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งทำให้บุคลากรวัยทำงานอาจไม่ได้มีความโดดเด่นไปมากกว่ากัน นอกจากเรื่องของอายุหรือประสบการณ์ทำงานที่นานกว่าจะได้เปรียบ
2. ภาคการศึกษาไม่ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน เด็กเรียนจบมามีวุฒิการศึกษา แต่ไม่มีทักษะที่สามารถใช้ได้จริงในตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นปัญหาของหลักสูตรการศึกษา และการส่งเสริมสกิลทักษะที่ขัดกับความต้องการของประเทศ เช่น ในประเทศไทย ขาดแคลนสายงาน AI วิศวกรรม ไปจนถึงนักวิทยาศาสตร์ แต่ภาครัฐไม่ได้มีการสนับสนุนการศึกษาของเด็กในด้านนี้มากนัก ทำให้การเรียนบางสายป้อนคนล้นงานเกินไป เช่น สายบริหาร หรือนิเทศศาสตร์ สุดท้ายก็ว่างงาน หรือต้องไปทำงานไม่ตรงสาย ซึ่งบริษัทก็มักไม่อยากรับคนที่ไม่มีประสบการณ์ตรงกับเนื้องาน
3. SME ไม่โต เนื่องจากธุรกิจขนาดใหญ่ผูกขาด SME ไทยคือรากฐานเศรษฐกิจ แต่ส่วนมากไม่สามารถโตได้จริง เพราะขาดเงินทุน เทคโนโลยี และโอกาสเข้าตลาด ในขณะที่ ธุรกิจกลุ่มทุนขนาดใหญ่ไม่กี่เจ้าครองตลาดแทบทุกวงการ และความสามารถทางการแข่งขันที่สูงกว่า เช่น อำนาจการต่อรอง การเข้าถึงผู้บริโภคสูง หรือกลไกด้านราคาที่ตั้งได้ถูกกว่า ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำ และการแข่งขันไม่ยุติธรรม ซึ่งการที่ผู้ประกอบการรายเล็กและขนาดกลาง ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงอยู่แล้ว ก็ผลักดันให้พวกเขาจำเป็นต้องมีการลดต้นทุนด้วยการเลิกจ้างงาน และไม่รับเด็กจบใหม่เนื่องจากมองว่าไม่คุ้มค่า
4. ระบบราชการและนโยบายล้าหลัง การพัฒนาประเทศต้องการการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย แต่ระบบราชการไทย มักขาดความยืดหยุ่น ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงเร็ว อีกทั้งยังมีปัญหาการคอร์รัปชั่นตั้งแต่ระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับประเทศ ทำให้โครงการที่ดีก็อาจติดขั้นตอน หรือใช้งบไม่คุ้ม ไม่ตรงเป้า ส่งผลให้ไม่มีมาตรการหรือนโยบายที่ส่งเสริมทักษะบุคลากรในประเทศอย่างจริงจัง
ดังนั้น การที่เด็กจบใหม่เสี่ยงตกงานสูง จึงเป็นปัญหาระดับโครงสร้างที่ฝังลึกมากกว่าที่คิด เพราะเยาวชนไทย (ที่เกิดน้อยลง) ในตอนนี้กำลังเรียนในระบบที่ไม่อัปเดต ไม่ได้เน้นการฝึกงานจริง พอจบมาจึงหางานยาก แถมยังได้รายได้ที่ต่ำ ส่วนโอกาสในการเป็นเจ้าของธุรกิจหรือทรัพย์สินน้อยมาก เพราะต้นทุนสูง ถ้าไม่เก่งจริงหรือมีทุนครอบครัวสนับสนุนอยู่แล้ว ก็อาจต้องวนอยู่ในวงจรเงินเดือนแบบ “หาเช้ากินค่ำ” ไปตลอด ซึ่งกระทบกับภาคการบริโภคในประเทศที่จะต่ำลงไปเรื่อยๆ ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่สูงขึ้น องค์กรต่าง ๆ ขาดบุคลากรที่สำคัญในอนาคต อันเป็นการลดศักยภาพการเติบโตในประเทศระยะยาว ที่อาจทำให้ไทยคงสถานะประเทศที่กำลังพัฒนา…ตลอดไป
ข่าวเด่น