Scoop : ลงทุนหุ้นอย่างไรให้ปลอดภัย ท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองไทยเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน


สถานการณ์ที่เปราะบางระหว่างไทย-กัมพูชา จากความขัดแย้งตามแนวชายแดนที่ผ่านมานั้น ทวีความตึงเครียดมากขึ้น จนเริ่มเกิดการสั่นคลอนต่ออธิปไตยของชาติ เมื่อคลิปเสียงการสนทนาระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศได้ถูกเผยแพร่ออกมา อันนำมาสู่วิกฤตการเมืองไทยที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นของประชาชน นักลงทุน และเศรษฐกิจในประเทศ ดังนั้นในมุมมองของการลงทุน ควรวางแผนรองรับความเสี่ยงของพอร์ตอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาความมั่นคงทางการเงินของเราเอาไว้ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
 
ในด้านดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET Index นั้น นับว่าสะท้อนความกังวลทางการเมืองมาตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค. 2568 เป็นต้นมา ที่ส่งผลให้ SET ปรับฐานลดลงมา -12% ซึ่งจวบจนมีคลิปเสียงการเจรจาระหว่างนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร กับสมเด็จฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และการที่พรรคภูมิใจไทยประกาศถอนตัวจากรัฐบาลก็ยิ่งกดดันให้หุ้นไทยปรับตัวลดลงมากขึ้น โดยทางบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี ได้มีการประเมินว่า หุ้นในตลาดมีการปรับตัวลดลงโดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มนโยบายรัฐ หรือหุ้นในกลุ่ม Domestic Play ที่เป็นหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ เพราะจากสถานการณ์ตอนนี้ทำให้เกิดความไม่แน่ใจว่าจะสามารถผลักดันงบประมาณในปีงบประมาณ 2569 แม้ว่าบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจได้เคาะแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 1.1 แสนล้านบาท และเตรียมเสนอต่อคณะรัฐมตรี (ครม.) แล้วก็ตาม
 
ทั้งนี้ บล.กรุงศรี ประเมินว่า SET INDEX จะปรับตัวลดลงไปไม่มาก โดยมองแนวรับ SET รอบนี้ คือ 1,070-1,056 จุด เพราะอาจมีแรงซื้อคืนกลับมา และหากนับจากกลางเดือน พ.ค. ดังกล่าว ก็ถือว่าตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงมาใกล้สู่ช่วงขาปลายแล้ว ดังนั้นจึงแนะนำให้พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ด้วยการสะสมหุ้นพื้นฐานดี โดยใช้วิธีทยอยแบ่งไม้ซื้อ ไม่ควร All In ซื้อครั้งเดียวแบบเต็มจำนวน และแนะนำให้เลือกพักเงินไว้ในหุ้นที่อิงกับการเติบโตของเศรษฐกิจภายนอก Global Plays หรือหุ้นในกลุ่ม พลังงาน น้ำมัน กลุ่มปิโตรเคมี และการส่งออก โดยกลุ่มหุ้นเด่น คือ PTTEP, PTT, PTTGC และ MINT เนื่องจากมีโอกาสเติบโตมากกว่า และไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งระยะสั้นมีโอกาส Outperform ตลาดได้ เหมาะกับการเทรดระยะสั้น นอกจากนี้ อาจพิจารณาผสานการทยอยเข้าซื้อสะสมในหุ้น Domestic ที่ตอบรับความเสี่ยงทางการเมืองไปมากแล้ว เป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะกลางถึงยาว เช่น BDMS, BCH, CPALL และ CENTEL
 
ด้านของบริษัทหลักทรัพย์ InnovestX มีการประเมินที่สอดคล้องกันว่า ในระยะสั้น SET Index ยังเคลื่อนไหวในกรอบที่ค่อนข้างผันผวนจากสถานการณ์บ้านเมืองที่เข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ โดยประเมิน Downside มีโอกาสลงไปทดสอบบริเวณ 1056 จุด แต่ทั้งนี้มองว่า SET ที่ต่ำกว่า 1,100 จุด คิดเป็น P/E Ratio ปี 2568 ต่ำกว่า 12 เท่า จึงเป็นจุดที่เหมาะสมในการทยอยซื้อสำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว ขณะที่เป้าหมายของ SET Index ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1,250 จุด
 
ส่วนการฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะกระทิงยังคงเป็นไปได้ยาก หากไม่มี 3 ปัจจัยหนุน ได้แก่
 
1.นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายผ่านการเร่งลดอัตราดอกเบี้ย

2.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการคลังที่จริงจังผ่านการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ซึ่งปัจจุบันการบริหารราชการแผ่นดินมีโอกาสที่จะไม่ต่อเนื่องได้ เพราะยังคงมีความเสี่ยงที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ส่งผลให้เกิดการโยกย้ายข้าราชการ จึงทำให้การดำเนินนโยบายต่าง ๆ มีความล่าช้าออกไป

3.สภาพแวดล้อมภายนอกที่เป็นบวก โดยเฉพาะมาตรการภาษีของสหรัฐ และความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่คลี่คลายลง
 
ซึ่งจากสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความผันผวน ทาง InnovestX แนะนำกลยุทธ์การลงทุนให้ทยอยเข้าซื้อสะสมที่แนวรับ หรือไม่ก็เข้าซื้อตอนที่หุ้นมีราคาอ่อนตัว โดยหุ้นกลุ่มที่มองว่าจะ Outperform ภายใต้การเมืองไทยที่มีความไม่แน่นอน ได้แก่

1.Dividend Stock หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้กับพอร์ตลงทุนในระยะสั้น โดยควรเน้นเลือกหุ้นที่จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล (คือการจ่ายเงินปันผลในระหว่างรอบปีบัญชี) ที่ทำกำไรได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปีเกินร้อยละ 2 แนะนำหุ้น ADVANCE, BBL และ PTT

2.Defensive Stock หุ้นที่มีความผันผวนต่ำ โดยผลการดำเนินงานคาดว่าจะสามารถต้านความผันผวนจากปัจจัยภายนอกได้ แนะนำหุ้น DIF, BDMS และ BCH
 
สำหรับทางบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ วิเคราะห์ว่า ประเด็นที่เป็นปัจจัยทางการเมือง อย่างการถอนตัวการร่วมรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย และประเด็นคลิปเสียงของทั้งสองผู้นำ ทำให้รัฐบาลเพื่อไทยกำลังเผชิญกับความยากลำบากมากขึ้น เกิดความสุ่มเสี่ยงในการออกข้อกฎหมายสำคัญต่าง ๆ จะไม่ได้รับความเห็นชอบ หรือมีความล่าช้าออกไป เช่น พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2569 ซึ่งมีโอกาสทำให้เศรษฐกิจไทย Downside ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งพาการใช้จ่ายภาครัฐเข้ามาช่วยพยุงสถานการณ์อย่างเร็วที่สุด ทาง บล. ทรีนีตี้ จึงแนะนำการถือครองหุ้นในส่วนเดิม ส่วนการเข้าซื้อสะสมใหม่ ต้องรอให้ภาพปัจจัยทางการเมืองในไทยมีความชัดเจนก่อน ทั้งนี้ควรใช้ความระมัดระวังต่อหุ้นในกลุ่ม Domestic Play ต่อไป เนื่องจากเป็นกลุ่มหุ้นที่มีความอ่อนไหวต่อความเสี่ยงของปัจจัยการเมืองมากที่สุด ส่วนระยะสั้นมองภาพการส่งออกไทยยังคงเป็นบวก หุ้นกลุ่มเด่นที่แนะนำ จะเป็นกลุ่มสินค้าที่มีการเร่งการส่งออก เช่น Delta, CCET, HANA, KCE, GFPT, AAI, ITC และ TU เนื่องจากในระยะนี้มีการเร่งรัดการส่งออกในช่วงก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ จะมีการขึ้นภาษีนำเข้าอย่างเป็นทางการ ทำให้ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ผลประกอบการในหุ้นดังกล่าวยังคงสามารถผลักดันการเติบโตได้อยู่

อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมในหุ้นดังกล่าวแต่ละตัวก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ เพราะข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงแนวทางในการจัดการความเสี่ยงสำหรับสถานการณ์ในช่วงเวลานี้เท่านั้น ทั้งนี้ควรติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด เพราะอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อการลงทุนและการ กระจายความเสี่ยงเพิ่มเติม

LastUpdate 22/06/2568 17:44:12 โดย : Admin
กลับหน้าข่าวเด่น
01-07-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ July 1, 2025, 10:12 am