
ในที่สุด สงครามการค้า สหรัฐ-จีน ก็ได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด เมื่อทั้งสองมหาอำนาจต่างบรรลุข้อตกลงทางการค้าได้สำเร็จ ทำให้บรรยากาศการค้าโลกเริ่มพลิกกลับมาผ่อนคลายลง นักลงทุนมีการประเมินสถานการณ์ที่เป็นบวกต่อการบรรลุข้อตกลงทางการค้าของสหรัฐกับอีกหลาย ๆ ประเทศ ส่งผลให้หุ้นขยับราคาขึ้นรับข่าวดีดังกล่าว
นายฮาวเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐและจีนได้มีการลงนามทางการค้าอย่างเป็นทางการเรียบ ร้อยแล้ว หลังจากที่ได้มีการตกลงการค้าเบื้องต้นที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเดือนที่แล้ว โดยแนวทางในกรอบการทำงานเพื่อบรรลุตามข้อตกลงเจนีวาดังกล่าว คือ จีน จะยอมส่งมอบแร่แรร์เอิร์ธที่ใช้ในการผลิตสินค้าให้กับสหรัฐอีกครั้ง แลกกับที่สหรัฐจะยกเลิกมาตรการตอบโต้ต่อจีน
จีน ถือได้ว่าเป็นประเทศผู้ผลิตแรร์เอิร์ธหรือแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก จีนมีปริมาณสำรองแร่หายากสูงสุดในโลกที่ 44 ล้านเมตริกตัน และยังเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในปี 2024 ด้วยกำลังการผลิตถึง 270,000 ตัน แต่ช่วงก่อนหน้านี้จีนได้ตอบโต้จากกรณีที่สหรัฐใช้มาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ด้วยการจำกัดการส่งออกแร่หายาก 7 ประเภท ให้สหรัฐ ได้แก่ ซาแมเรียม แกโดลิเนียม เทอร์เบียม ดิสโพรเซียม ลูทีเชียม สแกนเดียม และอิตเทรียม ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ชิปคอมพิวเตอร์ แบตเตอรี่รถยนต์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ไปจนถึงอาวุธไฮเทค และอุตสาหกรรมอวกาศ ขณะที่สหรัฐก็ตอบโต้กลับด้วยการควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์ออกแบบเซมิคอนดักเตอร์ เครื่องยนต์ที่ใช้ในท่าอากาศยาน และสินค้าอื่น ๆ ไปยังจีน
โดยจากการตกลงดังกล่าว ทางโฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน เปิดเผยว่า จีนและสหรัฐฯต่างเห็นชอบในรายละเอียดของข้อตกลงการค้าที่ทั้งสองฝ่ายบรรลุร่วมกัน โดยจีนจะทบทวนและอนุมัติเอกสารคำขอส่งออกสินค้าควบคุมตามกฎหมายและข้อบังคับ ในขณะที่สหรัฐจะยกเลิกมาตรการจำกัดต่อจีนหลายประการตามลำดับ ซึ่งหวังว่าสหรัฐจะทำงานร่วมกับจีนตามฉันทามติที่สำคัญและข้อกำหนดที่เสนอขึ้นระหว่างการพูดคุยของประธานาธิบดีทั้งสองประเทศเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ที่ผ่านมา
ขณะที่รัฐบาลวอชิงตัน กล่าวว่า สหรัฐจะยกเลิกมาตรการส่งออกวัตถุดิบ เช่น ก๊าซอีเทนในการผลิตพลาสติก ซอฟต์แวร์ออกแบบเซมิคอนดักเตอร์ หรือเครื่องบินเจ็ท ให้กับจีนอีกครั้ง และยกเลิกมาตรการตอบโต้ เมื่อบรรลุข้อตกลงกับจีนเกี่ยวกับแนวทางการเร่งจัดส่งแร่หายากให้กับสหรัฐได้สำเร็จ
โดยการยุติสงครามการค้าระหว่างสองประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกนี้ ส่งผลให้ตลาดทั่วโลกคลี่คลายความตึงเครียดลง และหวังว่าการตกลงดังกล่าวจะเป็นตัวชี้นำไปสู่การเจรจาการค้าทางบวกกับอีกหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะการเจรจาข้อตกลงระหว่างสหรัฐกับ 10 ประเทศแรก ที่คาดว่าจะบรรลุข้อตกลงทางการค้าอย่างเป็นไปได้ด้วยดีเช่นกัน และยังมีสัญญาณบวกจากที่ทำเนียบขาว ได้กล่าวว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ อาจขยายระยะเวลาการระงับใช้มาตรการการปรับขึ้นภาษีนำเข้าชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน ซึ่งกำลังจะหมดอายุในวันที่ 9 ก.ค. 2568 ส่งผลให้ ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.3% แตะที่ 6,156.80 จุด ดัชนี Nasdaq Composite ก็ทำจุดสูงสุดใหม่ โดยเพิ่มขึ้น 0.3% สู่ระดับ 20,218 จุด ในขณะเดียวกัน ดัชนี Dow Jones ก็เพิ่มขึ้น 156 จุด หรือ 0.4% ส่วนตลาดญี่ปุ่น ดัชนี Nikkei ปิดบวกต่อเนื่องทะยานขึ้น 40,000 จุดเป็นครั้งแรกนับจากเดือนธ.ค. ปีที่แล้ว โดยกลุ่มหุ้นที่เติบโตดี คือ กลุ่มโลหะที่ไม่มีส่วนผสมของเหล็ก กลุ่มอุปกรณ์การขนส่ง และกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์
อย่างไรก็ตาม การตกลงทางการค้ากับประเทศที่เหลือ ก็ยังมีความเสี่ยงที่การเจรจาอาจล้มเหลว เพราะอำนาจการตัดสินใจอยู่ในมือของผู้นำทรัมป์ ซึ่งมีโอกาสที่เขาจะเลือกใช้อัตราภาษีตอบโต้หากเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐ และต่อแรงงานชาวอเมริกันที่มาเป็นอันดับ 1
ข่าวเด่น