Special Report : ท่องเที่ยวไทยปี 2568 หดตัวต่อเนื่อง 7 เดือน คาดทั้งปีนักท่องเที่ยวเหลือ 32.2 ล้านคน


 

ดูเหมือนว่าปี 2568 นี้ จะไม่ใช่ปีของประเทศไทยเลย หากแต่เป็นด่านเคราะห์ที่เข้ามาทดสอบความเข้มแข็งของเศรษฐกิจบ้านเรา ว่าจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้หรือไม่ท่ามกลางความท้าทายที่มุ่งเข้ามาปะทะรอบด้าน โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ในการหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทยนั้น มีการหดตัวลงติดต่อกัน 7 เดือน และคาดว่าภายในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยลดลงเหลือเพียง 32.2 ล้านคน
 
ภาคการท่องเที่ยว จัดเป็นหนึ่งในกลไกที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้มีการเติบโตเฉกเช่นทุกวันนี้ ด้วยความรุ่มรวยทางวัฒนธรรม อาหารการกินรสชาติถูกปากที่หาได้ทั่วทุกพื้นที่ หรือจะเป็น Service Mind ระดับดาวเด่นของโลก ได้ทำให้นักท่องเที่ยวมีประสบการณ์ที่ดีกับประเทศไทยและติดใจจนกลับมาอีก โดยในช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ภาคการท่องเที่ยวไทยเคยทำรายได้เข้าประเทศราว 3 ล้านล้านบาท มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาสูงสุด 40 ล้านคนต่อปี หรือเป็นอันดับที่ 13 ของโลก และที่ 3 ของเอเชีย (เป็นรองแค่จีนกับฮ่องกง) และเคยเป็นที่ 1 ในอาเซียน 
 
โดยภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ธุรกิจการท่องเที่ยวที่ซบเซาลงไปก็เริ่มทยอยกลับขึ้นมาดีขึ้น แต่ด้วยการ Set Zero ของสถานการณ์ดังกล่าวที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างมากที่สุดทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ก็ได้สร้างความท้าทายให้กับขีดความสามารถด้านการท่องเที่ยวของไทยเช่นกัน ทั้งการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่สูงขึ้น โดยเฉพาะประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอาเซียน เช่นเวียดนามและอินโดนีเซีย ทั้ง 2 ประเทศนี้ มีการพัฒนานโยบายและปัจจัยส่งเสริมการท่องเที่ยว อย่างการแข่งขันด้านราคา รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง ทำให้เกิดปัจจัยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติในด้านของราคา จากทั้งภาษีสนามบิน ราคาโรงแรม ค่าครองชีพ และราคาน้ำมัน ที่พบว่าดัชนีการแข่งขันด้านราคาของอินโดนีเซียและเวียดนามปรับดีขึ้นจากก่อนโควิดราว 10% ทำให้ทั้งอินโดนีเซียและเวียดนามอยู่ใน 20 อันดับแรกของโลก ขณะที่ไทยจัดอยู่อันดับที่ 39 ส่วนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้ง 2 ประเทศก็มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น จากโครงการทั้งทางบกและทางน้ำ ซึ่งกำลังจะแซงหน้าไทยในอนาคต หากยังไม่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ รวมถึงการดูแลโครงสร้างพื้นฐานเดิมเพื่อรักษาขีดความสามารถที่มีอยู่
 
ส่วนในสภาวะเศรษฐกิจที่มีการชะลอตัวในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งจากการที่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ 100% จากช่วงโควิด ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศที่ยังไม่มีความคงที่ และยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เช่น สงครามที่เกิดขึ้นระหว่างรัสเซียยูเครน การห้ำหั่นกันเพื่อช่วงชิงอำนาจเศรษฐกิจที่นำทีมโดยรัฐบาลของโดนัล ทรัมป์ ที่ได้เกิดความแปรปรวนในตลาดการค้าโลกจากนโยบายภาษีไปแล้ว การที่ยังไม่ลงรอยกันนักกับทางจีน รวมถึงประเด็นการคว่ำบาตรกับรัสเซียก็เริ่มมีให้เห็นแล้ว ทั้งหมดนี้สะท้อนได้ถึงบรรยากาศที่ไม่มีความปลอดภัยเลยกับภาคเศรษฐกิจ ซึ่งจำเป็นต้องมีการติดตามเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา เป็นเหตุให้การใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยอย่างการท่องเที่ยวต้องถูกพับเก็บไปก่อน โดยเราจะสังเกตได้เลยว่าหนึ่งในตลาดนักท่องเที่ยวที่เข้าไทยมากที่สุดอย่างนักท่องเที่ยวชาวจีน ก็มีจำนวนที่ลดลง และยังลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2568 นี้ เนื่องจากมีเรื่องของภาพลักษณ์ที่ไม่ปลอดภัย จากข่าวการลักพาตัวนักแสดงจีน หรือการปราบปรามธุรกิจสีเทา และยึดโยงต่อเนื่องมายังปัญหาชายแดนระหว่างไทย - กัมพูชา ที่ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวของประเทศไทยยิ่งซบเซาลงอีก
 
โดยข้อมูลจากทางศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยในปี 2568 นี้ว่า ในเดือนสิงหาคม นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยหดตัวเป็นเดือนที่ 7 หรือหดตัว 7% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และคาดว่าทั้งปีนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยอาจอยู่ที่ 32.2 ล้านคน หดตัว 9% จากปี 2567 ซึ่งแม้จะเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวท้ายปีที่เป็นช่วง High Season ของไทย แต่ด้วยปัจจัยลบดังกล่าว ทำให้การท่องเที่ยวไทยยังไม่สามารถพลิกตัวเป็นบวกได้
 
นอกจากนี้ ประเด็นสินค้าบริการของไทยยังมีทิศทางที่จะปรับตัวสูงกว่าคู่แข่งอีกด้วย จากสภาวะที่เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ราคาของทองคำที่ดีดตัวแรงขึ้นจนส่งผลกระทบทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า ก็ทำให้ส่งผลต่อความรู้สึกของนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในไทยที่แพงขึ้น ดังนั้นอาจจะต้องเป็นโจทย์ให้กับทางภาครัฐในการเข้าแก้ปัญหากลไกสำคัญทางเศรษฐกิจนี้ รวมถึงประเด็นของการที่ไทยมีการส่งออกทองคำไปกัมพูชามากผิดปกติ ซึ่งดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลและแบงก์ชาติควรตรวจสอบเส้นทางการเงินนี้เพื่อหยุดวงจรทุนเทาให้หายไป และคืนความโปร่งใสเพื่อประโยชน์ของประเทศกลับคืนมา

LastUpdate 14/09/2568 21:46:57 โดย : Admin
กลับหน้าข่าวเด่น
16-09-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ September 16, 2025, 2:10 pm