Special Report : คนจนไทยพุ่งทะลุ 3.4 ล้านคน สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ


เวลาพูดถึงคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ มักจะวัดกันด้วยเกณฑ์ในหลายมิติร่วมกัน ทั้งในมิติของสุขภาพ เช่น อายุขัยเฉลี่ยที่บ่งบอกถึงคุณภาพของระบบสาธารณสุข มิติของการศึกษา มิติทางด้านสังคมและสิทธิมนุษยชน และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ มิติทางด้านเศรษฐกิจ ที่รายได้เฉลี่ยต่อหัว และการกระจายรายได้ จะเป็นตัวบ่งบอกที่สำคัญถึงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศว่าประสบความสำเร็จหรือเข้าขั้นวิกฤตไปแล้ว
 
สำหรับในประเทศไทย อ้างอิงตามข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ได้เผยแพร่รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยล่าสุดปี 2567 พบว่าจำนวนคนจน เพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน หรือคิดเป็น 4.89% ของประชากรทั้งประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 อยู่ที่ +3.41% โดยปีนี้เส้นความยากจนปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน จากเดิม 3,043 บาทต่อคนต่อเดือน โดยในระดับครัวเรือนที่อยู่ในภาวะยากจน ต้องรับภาระในการดูแลสมาชิกในครอบครัวด้วยอัตราที่สูงกว่าครอบครัวที่ไม่ยากจนอีกด้วย สะท้อนให้เห็นจากอัตราการพึ่งพิงของครัวเรือนยากจนอยู่ที่ 103.69% หรือคนวัยแรงงาน 1 คน ต้องรับภาระในการดูแลเด็กและผู้สูงอายุรวมกันโดยเฉลี่ย 1.04 คน ขณะที่วัยแรงงาน 1 คนในครัวเรือนไม่ยากจน รับภาระในการดูแลเด็กและผู้สูงอายุเพียง 0.60 คน แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ
 
ส่วนกลุ่มคนเปราะบางต่อความยากจนมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นในทุกระดับความรุนแรง โดยกลุ่ม "คนจนมาก" ที่มีระดับรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคต่ำกว่าเส้นความยากจนเกินกว่า 20% มีจำนวน 879,000 คน หรือมีรายได้เพื่อการอุปโภคบริโภคประมาณ 615 บาทต่อคนต่อเดือน ส่วนกลุ่ม "คนจนน้อย" หรือกลุ่มคนที่มีระดับรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคต่ำกว่าเส้นความยากจนไม่เกิน 20% เพิ่มขึ้นเป็น 2.55 ล้านคน และกลุ่ม “คนเกือบจน” ที่มีระดับรายจ่ายสูงกว่าเส้นความยากจนไม่เกิน 20% หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะตกอยู่ในภาวะยากจนเพิ่มขึ้นเป็นเป็น 4.29 ล้านคน 
 
นอกจากนี้ ในด้านภาพรวมสถานการณ์ความยากจนในระดับจังหวัดของปี 2567 พบว่า มีการแย่ลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส อุบลราชธานี สระแก้ว พัทลุง ศรีสะเกษ เชียงราย และตาก โดยภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ยังคงเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนประชากรยากจนสูงที่สุดของไทย ที่คิดเป็นสัดส่วนคนจนอยู่ที่ 9.43% 6.56% และ 5.75% ตามลำดับ ซึ่งถ้าพิจารณาจะเห็นว่าการกระจุกตัวของคนจนจะอยู่ในจังหวัดเมืองรองเป็นส่วนใหญ่ โดยแม่ฮ่องสอนและปัตตานีอยู่ใน 5 อันดับแรกของจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดต่อเนื่องกันอย่างน้อย 15 ปี สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความยากจนเรื้อรังในจังหวัดดังกล่าว 
 
เมื่อผนวกถึงข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกัน จะพบว่า สถานการณ์ความยากจนในประเทศไทย สะท้อนถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำทางโครงสร้างที่ชัดเจนอย่างมาก ซึ่งด้วยรูปแบบของเศรษฐกิจประเทศไทยที่พึ่งพาอาศัยการบริโภคจากต่างประเทศสูง โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าทางการเกษตรเป็นหลัก และอาศัยการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อดึงดูดเงินทุนเข้ามาหมุนเวียนในประเทศ ทำให้แหล่งของรายได้กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่จำกัด เช่น การท่องเที่ยวก็จะมีเงินสะพัดในจังหวัดหลัก ที่ทำให้ภาคธุรกิจและบริการที่เกี่ยวข้องได้อานิสงส์ไปด้วย ส่วนเมืองรองที่ไม่ได้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชุกชุมก็จะส่งผลให้เกิดรายได้ของคนในพื้นที่ที่น้อยกว่า รวมไปถึงในภาคของการเกษตร ที่ตามรายงานได้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า กลุ่มแรงงานภาคการเกษตร เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อความยากจนสูงที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 45.49% ที่เป็นผลมาจากการที่ภาคเกษตรต้องพึ่งพารายได้จากภาคการผลิตซึ่งมีความผันผวนสูง ตามสภาพอากาศ และราคาสินค้าเกษตรที่ไม่แน่นอน
 
ซึ่งด้วยการกระจายความเจริญตามโครงสร้างเศรษฐกิจที่กระจุกตัวนี้เอง ทำให้ความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นจนอยู่ในสภาวะที่น่าเป็นห่วง เพราะกลุ่มคนที่อยู่ในเส้นของความยากจนที่ต่ำกว่า 20% จำเป็นต้องใช้เงินกว่าครึ่งหนึ่งของรายจ่ายทั้งหมดไปกับอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานในการมีชีวิต ขณะที่กลุ่มคนที่อยู่บนเส้นความยากจน (หรือก็คือไม่จัดว่าเป็นคนจน) ใช้จ่ายเงินไปกับสิ่งของที่ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐาน เช่น การท่องเที่ยว รถยนต์ หรือของฟุ่มเฟื่อย เป็นความแตกต่างอย่างชัดเจนถึงคุณภาพชีวิตที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญ และเร่งแก้โครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ก่อนที่โครงสร้างที่เปราะบางนี้จะถล่มลงมาจนไม่สามารถแก้ไขได้อีก

LastUpdate 24/09/2568 21:21:32 โดย : Admin
กลับหน้าข่าวเด่น
20-10-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 20, 2025, 9:56 pm