Special Report : สหรัฐชัตดาวน์ เสี่ยงกระทบตลาดการเงิน - ส่งออกไทยผันผวน


เรียกได้ว่าเกิดแต่กับสหรัฐอเมริกาจริง ๆ นับตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนทิศทางของประเทศ ก็ได้สร้างความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจผ่านมโนทัศน์ทางการเมืองฝ่ายขวา ที่ล่าสุดได้ดำเนินมาถึงจุดที่นำพาประเทศเข้าสู่การ Shutdown โดยไม่ให้ทางออกในการเจรจาทางการเมืองที่เป็น กลางหรือประนีประนอมกันได้ง่าย ๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดผล กระทบกับเศรษฐกิจในประเทศแล้ว ยังส่งต่อความย่ำแย่ให้กับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่ยังไม่ทันฟื้นตัวจากเรื่องของภาษีสหรัฐเลย
 
เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2568 รัฐบาลกลางสหรัฐได้เข้าสู่ Government Shutdown หรือ การปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาล ที่ทางสภา คองเกรสไม่สามารถอนุมัติงบประมาณหรือมาตรการต่อเนื่องเพื่อให้รัฐบาลดำเนินงานต่อได้ ทำให้หน่วยงานของรัฐบางส่วนที่เป็นข้าราชการราว 800,000 คน ถูกพักงานชั่วคราว และยังมีอีกหลายแสนคนที่ต้องทำงานต่อไปโดยยังไม่ได้รับค่าจ้างจนกว่าจะผ่านงบประมาณใหม่ได้ โดยสาเหตุสำคัญมาจากความขัดแย้งทางการเมืองภายใน ที่ทรัมป์ได้มีการลงนามใน Rescissions Act of 2025 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ตัดงบประมาณในบางโครงการ เช่น งบช่วยเหลือระหว่างประเทศ งบสำหรับสื่อสาธารณะ รวมถึงการตัดงบช่วยเหลือทางสุขภาพ นำมาสู่ความไม่ลงรอยกันกับทางพรรคฝ่ายนิติบัญญัติ (พรรคเดโมแครต) ซึ่งทางฝ่ายริพับลิกันของทรัมป์ยังคงเดินหน้าที่จะตัดงบหรือระงับโครงการในรัฐที่มี    รัฐบาลพรรคเดโมแครต เช่น โครงการโครงสร้างพื้นฐาน หรือโครงการด้านสิ่งแวดล้อมในรัฐ Blue States โดยใช้การ Shutdown เป็นเครื่องมือกดดันให้ฝั่งเดโมแครตน้อมรับสนับสนุนเรื่องเหล่านั้นโดยไม่มีการประนีประนอมใด ๆ ทั้งสิ้น
 
ไม่เพียงแค่นั้นทางทรัมป์ส่งสัญญาณจะยังใช้โอกาสในการ Shutdown นี้ในการเตรียม Layoffs บุคลากรครั้งใหญ่ ที่จะไม่ใช่การพักงานชั่วคราวแต่เป็นการปลดถาวร ซึ่งเป็นแนวทางที่ผิดปกติเมื่อเทียบกับ Shutdown ก่อนหน้า แม้เขาจะอ้างว่าเป็นการจัดการงบประมาณที่ไม่จำเป็นและทุจริตก็ตาม แต่การใช้อำนาจฝ่ายบริหารอย่างเข้มข้นนี้ จะส่งผลให้ตลาดแรงงานสหรัฐอ่อนแอหนักขึ้นจากที่ตอนนี้ก็อ่อนแออยู่แล้ว ซึ่งการที่ตลาดแรงงานเกิดความอ่อนแอขึ้นมาก็จะยิ่งสะท้อนถึงการที่คนอเมริกาตกงานมากขึ้น มีรายได้ลดลง ส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นในการบริโภคที่ลดลง ซึ่งการบริโภคที่ถือเป็นหัวใจของเศรษฐกิจสหรัฐนั้นไม่ขับเคลื่อนต่ออย่างที่มันควรจะเป็น สุดท้ายแล้วก็จะทำให้เศรษฐกิจอาจเข้าสู่ Hard Landing หรือสภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวแรงจนกลายเป็นเศรษฐกิจถดถอยได้
 
แน่นอนว่าสหรัฐ ประเทศพี่ใหญ่และเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจโลกล้มตัวลงไป ก็จะส่งผลกระทบทางลบไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งหากสถานการณ์ที่มีการยืดเยื้อบานปลาย ก็อาจทำให้ไทยเผชิญเข้ากับผลกระทบในหลากหลายมิติ เนื่องจากนักลงทุนมีแนวโน้มที่จะโยกย้ายทรัพย์สินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย (เช่น ทองคำ) ส่งผลให้ค่าเงินบาทเกิดการผันผวน ส่วนการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของไทยโดยรวมก็อาจจะได้รับแรงกระแทกตามมาด้วย รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดที่สั่นคลอนดังกล่าว ก็จะเพิ่มแรงกดดันต่อการลงทุนในตลาดเกิดใหม่เช่นประเทศไทยซ้ำเข้าไปอีก
 
และเมื่อเป็นเรื่องของค่าเงินบาท สิ่งที่เกี่ยวโยงต่อมาก็คือเรื่องของภาคการส่งออกที่เป็นท่อลำเลียงการเติบโตหลักของ GDP ไทย โดยความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นคือการที่ภาคเอกชนของสหรัฐจะชะลอคำสั่งซื้อสินค้าจากประเทศไทยลงมา โดยเฉพาะสินค้าอิเล็คทรอนิกส์ และสินค้าในภาคอุตสาหกรรม ซ้ำแล้วสิ่งที่น่าเป็นห่วงต่อมาคือศุลกากรของสหรัฐอาจมีการทำงานล่าช้าจากการ Shutdown ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อสินค้าไทย เช่น เวลาส่งออกสินค้า อาจจะค้างอยู่ที่ท่าเรือนานกว่าปกติ เป็นต้น
 
นอกจากนี้ ในภาคการท่องเที่ยวไทยก็จะได้รับผลกระทบทางอ้อมด้วย  เพราะเมื่อสหรัฐเกิดการชัตดาวน์ ผู้บริโภคก็อาจต้องระมัดระวังในการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อการเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศรวมถึงประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตามแต่ เศรษฐกิจสหรัฐที่กำลังอยู่ในช่วงสุ่มเสี่ยงนี้ อาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed เพิ่มอัตราเร่งในการลดดอกเบี้ยลง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็มีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนจะไหลกลับเข้ามาในประเทศไทยได้ แต่สิ่งที่ไทยทำได้ ณ ตอนนี้ ทางภาครัฐอาจต้องใช้เครื่องมือดูแลอัตราแลกเปลี่ยน ไม่ให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนมากเกินไป และเร่งบริหารความเสี่ยงด้านการส่งออก เช่น การหาตลาดอื่นทดแทน อย่าง จีน อาเซียน และตะวันออกกลาง รวมถึงช่วยเหลือภาคธุรกิจผ่านมาตรการในการช่วยคลายความเสี่ยงกับภาคธุรกิจ เพื่อทรงตัวให้ผ่านพ้นสถานการณ์ช่วงนี้ไปให้ได้

LastUpdate 05/10/2568 22:58:09 โดย : Admin
กลับหน้าข่าวเด่น
10-10-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 10, 2025, 11:59 am