
ต้องบอกว่าด้วยรูปแบบแนวคิดการบริหารประเทศของทรัมป์ ก็คงไม่ผิดคาดนักหากจะมีมาตรการใหม่เกิดขึ้นมาอย่างฉุกละหุกที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปยังทั่วโลกอีกครั้ง ซึ่งล่าสุดนี้ คู่ปรับตลอดกาลอย่างจีน ยังเป็นหมุดหมายในการโจมตี โดยทรัมป์ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม 100% กับสินค้าส่งออกของจีนทั้งหมดที่เข้ามาในสหรัฐ หลังจีนควบคุมการส่งออกแร่หายากอย่างเข้มงวดมากขึ้น พร้อมกับเพิ่มข้อจำกัดในการจัดส่งซอฟต์แวร์ที่สำคัญทั้งหมดของสหรัฐไปยังจีน เพื่อโต้กลับแบบคูณสอง ตามที่ทรัมป์ได้เคยให้คำมั่นไว้
เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมานี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้โพสต์ข้อความยาวเหยียดลงบนสื่อโซเชียลมีเดียเพื่อตอบโต้การเคลื่อนไหวของจีน ที่เพิ่มความเข้มงวดในการส่งออกแร่หายาก ด้วยใจความว่าจีนกำลังมีท่าทีเป็นปรปักษ์ที่พยายามจะผูกขาดทรัพยากรที่สำคัญเพื่อกุมชะตาโลกเอาไว้ใต้อาณัติของตัวเอง ซึ่งสหรัฐจะตอบสนองต่อการผูกขาดใด ๆ แบบคูณสอง โดยทรัมป์ก็ได้โพสต์คำขู่เฉลยตามมาว่า “จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีกในอัตรา 100% และจะเพิ่มมาตรการควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์ที่สำคัญทุกประเภทภายในวันที่ 1 พ.ย. 2025” เท่ากับว่า สินค้านำเข้าจากจีน จากที่โดนเรียกเก็บในอัตรา 30% ในปัจจุบัน จะเพิ่มขึ้นเป็น 130% ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นการเปิดฉากสงครามการค้าภาค 2 ที่จะสร้างผลกระทบต่อเส้นทางการค้าโลกอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเองภายหลังการประกาศคำขู่นี้ ตลาดหุ้นสหรัฐได้สูญเสียเม็ดเงินราว 2 ล้านล้านดอลลาร์ โดยดัชนี S&P 500 ปิดตลาดร่วงลง 2.7% ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย. ส่วนดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงเกือบ 900 จุด หรือ 1.9% ภายในวันเดียวกัน ซึ่งเป็นการลดลงที่หนักที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. เลยทีเดียว
ซึ่งแร่หายาก หรือ Rare Earth ที่ประกอบด้วยธาตุโลหะทั้ง 17 ชนิด จัดเป็นวัตถุดิบที่มีความสำคัญต่อการผลิตสินค้าด้านเทคโนโลยี ตั้งแต่สินค้าที่เราใช้ในชีวิตประจำวันอย่างสมาร์ทโฟน ไฟ LED เซมิคอนดักเตอร์ แบตเตอรี่ในรถยนต์ไฟฟ้า เครื่องยนต์อากาศยาน ครอบคลุมไปยังการใช้งานทางการแพทย์อย่างเครื่องสแกนร่างกายด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) และการรักษาโรคมะเร็ง ตลอดจนมีความจำเป็นทางกองทัพ เช่นในเครื่องบินขับไล่ เรือดำน้ำ เรดาร์ทางทหาร ดาวเทียม ขีปนาวุธขั้นสูง และอื่น ๆ อีกมากมาย
โดยประเทศจีนมีบทบาทสำคัญในการผลิตแร่หายาก ที่ครองส่วนแบ่งอุปทานทั่วโลก (ถูกขุดได้จากจีน) อยู่ที่ประมาณ 70% และสามารถสร้างผลผลิตที่ผ่านการสกัดและแปรรูปแล้วได้มากถึง 92% จากทั่วโลก ส่วนในสหรัฐ ทรัมป์เองก็พยายามที่จะเสริมสร้างการลงทุนในบริษัทเหมืองแร่ให้เกิดขึ้นในสหรัฐเช่นกัน แต่ ณ ปัจจุบัน สหรัฐมีเหมืองแร่หายากที่เปิดดำเนินการอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้นในแคลิฟอร์เนีย อีกทั้งยังมีความสามารถไม่เพียงพอเทียบกับจีนที่จะสกัดคัดแยกแร่หายากแม้จะขุดขึ้นได้ก็ตาม ดังนั้นสหรัฐจึงเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ต้องมีการพึ่งพาแร่หายากจากทางจีน ซึ่งเรื่องนี้เองได้เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจนี้ จากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเมื่อช่วงต้นปี จนทำให้จีนโต้กลับด้วยการตัดการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐเป็นการต่อรอง จนทำให้เกิดการเจรจาต่อรองสงบศึกทางการค้า ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงยกเลิกการเก็บภาษีในอัตราสามหลักต่อสินค้าของกันและกัน และแลกมากับการที่จีนได้ตกลงที่ส่งออกแร่เหล่านี้ให้สหรัฐอีกครั้ง
แต่แล้ว เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 2025 รัฐบาลจีนได้บังคับใช้กฎควบคุมแร่หายาก โดยเพิ่มธาตุแร่หายาก 5 ชนิด ได้แก่ โฮลเมียม (holmium) เออร์เบียม (erbium) ทูเลียม (thulium) ยูโรเพียม (europium) อิตเทอร์เบียม (ytterbium) รวมถึงแม่เหล็กและวัสดุที่เกี่ยวข้อง เข้าไปในรายการควบคุมที่มีอยู่เดิม ทำให้จำนวนแร่หายากที่ถูกจำกัดทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็น 12 ชนิด ซึ่งรัฐบาลจีนได้กำหนดให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่จะส่งออกสินค้าที่ใช้แร่หายากจากทางจีนต้องได้รับใบอนุญาตเพื่อส่งออกสินค้าดังกล่าวออกจากกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงเพิ่มการตรวจสอบผู้ใช้งานเซมิคอนดักเตอร์ ควบคุมดูแลบริษัทที่ใช้งานแร่หายาก ซึ่งจะปฏิเสธหากบริษัทนั้น ๆ จะใช้แร่หายากในการผลิตยุทโธปกรณ์ทางทหาร รวมถึงยังกำหนดให้ผู้ผลิตแร่ธาตุหายากจากต่างประเทศที่ใช้วัตถุดิบจากจีนต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของจีนอีกด้วย
โดยข้อบังคับดังกล่าว จีนได้อ้างถึงความกังวลด้านความมั่นคงของชาติตน ส่วนทางสหรัฐ มองการกระทำนี้ว่าเป็นการโจมตีอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของสหรัฐ เพราะข้อจำกัดการส่งออกแร่หายากนี้สร้างผลกระทบต่อการผลิตอาวุธในต่างประเทศโดยตรง ขณะที่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก สหรัฐจึงต้องมีการตอบโต้อย่างดุดันเพื่อรักษาอำนาจของตัวเองไว้ อย่างการเพิ่มข้อจำกัดในการจัดส่งซอฟต์แวร์ของสหรัฐไปยังจีน แต่อย่างไรก็ตาม การตอบโต้นี้อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีของประเทศ เช่น เทคโนโลยี AI และระบบ Cloud Computing ที่คงต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเจ็บหนักก่อนการเจรจาต่อรองจะมาถึง
ข่าวเด่น