Special Report : โครงการ "คนละครึ่งพลัส" ดันเศรษฐกิจไทย ช่วยผู้ประกอบการรายย่อย 9 แสนร้านค้า


 

ผ่านไปแล้วสำหรับการเปิดลงทะเบียนในโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เมื่อวันที่ 20 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยมีประชาชนกดรับสิทธิเต็มโควต้า 20 ล้านสิทธิอย่างรวดเร็วภายในวันเดียวกัน ซึ่งสำหรับประชาชนที่ลงทะเบียนสำเร็จในกลุ่มที่ไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะได้รับสิทธิ 2,000 บาท และ 2,400 บาท สำหรับผู้ที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยผู้ลงทะเบียนทุกคนจะเริ่มใช้เงินคนละครึ่งนี้ได้วันที่ 29 ต.ค. - 31 ธ.ค.2568  กับทั้งร้านค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า ไปจนถึงบริการขนส่งสาธารณะ
 
สำหรับโครงการคนละครึ่งพลัส เป็นหนึ่งในนโยบายที่จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อให้มากยิ่งขึ้น ตรงตามวาระของเทศกาลจับจ่ายใช้สอยในปลายปี ที่เริ่มเห็นสัญญาณบวกมาตั้งแต่เข้าช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ โดยโครงการดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับภาคการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับร้านค้าปลีกของรายย่อยที่จะสามารถสร้างยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญกว่า 9 แสนร้านค้าทั่วประเทศ
 
เพราะสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้เข้าร่วมโครงการ จะสามารถเพิ่มยอดขายได้ทันที เกิดรายได้หมุนเวียนต่อเนื่องโดยที่ไม่ต้องลดราคาหนัก และยังเป็นการขยายฐานลูกค้าใหม่ เพราะจากที่ร้านค้าเคยพึ่งพาลูกค้าประจำอย่างเดียวก็จะได้กลุ่มใหม่จากโครงการ นอกจากนี้ยังเป็นการฝึกให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าสู่ระบบดิจิทัลการเงิน (Digital Inclusion) ที่เป็นวิธีที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้ในการชำระเงิน ดังนั้นเบื้องต้นนี้ ทางสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย คาดการณ์ว่าจะเป็นการช่วยให้สถานการณ์การค้าของโชห่วยกว่า 4 แสนรายทั่วประเทศ ที่เริ่มอ่อนแรงและอยู่ในภาวะติดลบนั้นดีขึ้น โดยเป็นการกระตุ้นให้ร้านโชห่วยปรับตัวหรือมีการเริ่มทำออนไลน์ควบคู่ไปด้วยพร้อม ๆ กันจากการเข้าสู่ระบบดังกล่าว
 
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ประกอบการรายย่อย หรือ SME ที่ถือว่าเป็นแหล่งจ้างงานมากกว่า 70% ของการจ้างงานทั้งหมดในภาคธุรกิจไทย การที่มีโครงการคนละครึ่งพลัสเข้ามาอุดหนุน จะสามารถเสริมสภาพคล่องระยะสั้น (ซึ่งเป็นปัญหาของรายย่อยที่ยอดขายเคยตกเพราะเศรษฐกิจชะลอตัวก่อนหน้านี้) เพื่อมีเงินมาหมุนเพิ่ม เพียงพอพอที่จะมีทุนกลับมาสั่งซื้อวัตถุดิบ สต็อกของ และจ่ายค่าจ้างแรงงานได้ ซึ่งเป็นการสร้างเอฟเฟกต์ลูกโซ่ (Multiplier Effect) ที่สร้างประโยชน์ต่อเนื่องไปให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่นและห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ในประเทศ
 
นอกจากนี้ ในมิติของของผู้บริโภคที่ได้รับเงินอุดหนุนในโครงการดังกล่าว ก็ถือว่าเป็นการเพิ่มการใช้จ่ายในระยะสั้น (Short-term Demand Boost) ที่รัฐทำให้ประชาชนรู้สึกว่า “ต้นทุนการซื้อของลดลง” ดังนั้นจึงตัดสินใจซื้อของมากขึ้น โดยเฉพาะในสินค้าจำเป็นและบริการรายวัน เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ของใช้ต่าง ๆ ทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นทันที และยังเป็นการฟื้นความเชื่อมั่นผู้บริโภค ที่ภาครัฐแสดงให้เห็นว่ายังมีมาตรการช่วยเหลือ จึงกล้าใช้จ่ายมากขึ้น โดยทั้งหมดนี้จะเป็นการกระตุ้นให้ระบบเศรษฐกิจเกิดการ “เคลื่อนไหว” แทนที่จะชะลอตัว และยังเป็นการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้อีกวิธีหนึ่งด้วยจากการบริโภคที่คึกคักขึ้น
 
โดยโครงการคนละครึ่งพลัส ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีการตั้งกรอบวงเงินของโครงการนี้ ไว้ที่ 44,000 ล้านบาท และเบื้องต้นคาดการณ์ว่าจะมีส่วนสำคัญในการบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนในช่วงปลายปีนี้ ที่จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อได้อย่างตรงจุด และช่วยให้ GDP ไทยขยายตัวได้ราว 0.21–0.22% เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการดังกล่าว

LastUpdate 22/10/2568 20:47:59 โดย : Admin
กลับหน้าข่าวเด่น
24-10-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 24, 2025, 12:34 am