Special Report : Insider Trading การซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยข้อมูลลับ ที่สร้างความไม่ยุติธรรมต่อตลาดและนักลงทุน


รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง แต่ถ้าหากมันเป็นการรู้ก่อนใคร ที่ได้มาซึ่งข้อมูลอย่างไม่เป็นธรรม ชัยชนะครั้งนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิใจนัก เพราะคือการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นผ่านการกระทำลับหลัง ที่ถ้าหากความอยุติธรรมดังกล่าวถูกเปิดโปงขึ้นมา แน่นอนว่าผู้เล่นที่อยู่ในภาคสนามเดียวกัน คงไม่มีใครสามารถยอมรับได้ และผลที่ตามมาก็คงมีระดับความรุนแรง เทียบเท่ากับการกระทำอันไม่พึงประสงค์ก่อนหน้า ของผู้เล่นที่มีสถานะอภิสิทธิ์ชนมาตั้งแต่เริ่มเกม
 
ความไม่แฟร์ในลักษณะนี้ เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำในระบบสังคมที่มีการแข่งขัน ซึ่งเป็นตัวแปรหลักในการสร้างผลประโยชน์ หรือช่วงชิงทรัพยากรต่าง ๆ มาเป็นของตัวเอง เช่น ในโลกของการลงทุน ก็มีสิ่งที่เรียกว่า “Insider Trading” หรือการซื้อขายสินทรัพย์ด้วยการใช้ข้อมูลภายในที่ยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ อันมีสาระสำคัญที่อาจมีผลกระทบต่อราคาหลักทรัพย์ โดยทำให้เกิดความได้เปรียบอย่างไม่เป็นธรรมกับนักลงทุนทั่วไปในตลาด กล่าวคือ การพิจารณาลงทุนในหุ้นของบริษัทหนึ่งที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ต้องอาศัยการศึกษาข้อมูลสำคัญของบริษัท เช่น รายงานผลประกอบการ, แผนการเพิ่มทุน การปันผล หรือซื้อคืนหุ้น, การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่, แผนเปิดตัวสินค้าใหม่, การได้หรือเสียสัญญาใหญ่ ฯลฯ
 
ประเด็นก็คือ หากข้อมูลเหล่านี้เปิดเผยเป็นสาธารณะจนนักลงทุนทั่วไปได้รับทราบแล้ว จะมีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของบริษัทนั้น ๆ แต่เมื่อมีการทุจริตขึ้นจาก “คนวงใน” ที่มีการใช้ข้อมูลดังกล่าวที่ยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ (คนอื่นยังไม่รู้) มาขายหรือซื้อเพื่อทำให้ได้กำไรหรือหลีกเลี่ยงขาดทุนก่อน การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการใช้ความได้เปรียบมาเบียดเบียนนักลงทุนรายย่อยคนอื่น ๆ เพราะในเกมการลงทุน ตลาดจะเต็มไปด้วย Volume ของการซื้อขาย โดยที่ราคาของหุ้นนั้น ๆ จะขับเคลื่อนด้วยหลักทางเศรษฐศาสตร์ที่ว่า เมื่อมีความต้องการซื้อมากกว่าความต้องการขาย ราคาของสินค้าจะแพงขึ้น แต่ในทางกลับกัน หากมีความต้องการขายมากกว่า สินค้าดังกล่าวก็จะมีราคาที่ถูกลง ดังนั้นการที่คนวงใน รู้ข่าวก่อนใครว่าหุ้นของบริษัทที่ตัวเองมีอยู่ในพอร์ตมีผลประกอบการรายไตรมาสย่ำแย่เกินคาด ก็ทำการเทขายหุ้นเหล่านั้นก่อนที่จะมีการประกาศข้อเท็จจริงดังกล่าวสู่สาธารณะ อันมีสาระสำคัญด้านลบต่อราคาของหุ้น ดังนั้นนักลงทุนที่ได้เข้าซื้อก่อนหน้าด้วยราคาที่มากกว่า ก็จะอยู่ในสถานะขาดทุน หรือขายออกไม่ทันก่อนที่ราคาหุ้นจะลง แตกต่างกับคนวงในที่เสมือนใช้วิธีผลักคนอื่นให้พ้นทาง จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ช่าง ขอแค่ตัวเองรอดไปได้ก็พอ ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายเต็ม ๆ
 
ส่วนถ้าเป็นข้อมูลที่ส่งผลต่อราคาหุ้นในด้านบวก การทำ Insider Trading ก็จะเป็นไปในลักษณะที่ว่า คนวงในเหล่านี้จะทำการเข้าซื้อหุ้นก่อนที่บริษัทที่ขายหน่วยลงทุนดังกล่าวจะประกาศข่าวดีที่จะทำให้ราคาหุ้นนั้นดีดตัวขึ้น พูดเป็นภาษาง่าย ๆ ก็คือ พวกเขาได้เข้าซื้อหุ้นโดยรู้อยู่แล้วว่าราคามันจะขึ้นในภายหลัง ซึ่งสามารถขายทำกำไรหรือสร้างผลประโยชน์เข้าตัวเองได้อย่างแน่นอน ผิดกับนักลงทุนทั่วไปที่ได้รับทราบข่าวดีในภายหลัง และเข้าซื้อหุ้นในจุดที่แพงกว่า หรือทำกำไรได้น้อยกว่าคนวงใน อย่างในกรณีล่าสุดที่ทาง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตราดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 5 ราย ที่ซื้อหุ้นบริษัทเถ้าแก่น้อย หรือ TKN โดยอาศัยข้อมูลการดำเนินงานภายในที่ตัวเองครอบครอง และช่วยเหลือการกระทำความผิดแล้วแต่กรณี ซึ่งบุคคลทั้ง 5 รายต้องชำระเงินรวมกว่า 16 ล้านบาท และยังสั่งแบนไม่ให้เป็นกรรมการหรือผู้บริหาร โดยหนึ่งในนั้นที่เป็นซีอีโอของบริษัทโดนเป็นเวลาสูงสุดถึง 20 เดือนเลยทีเดียว
 
โดยลักษณะการกระทำความผิดก็คือ พวกเขาทั้ง 5 ราย จัดว่าเป็นคนวงใน นำโดยซีอีโอ ที่มีตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริษัท ร่วมกับกรรมการผู้จัดการ ได้ใช้ข้อมูลที่ตัวเองครอบครอง ได้แก่ ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ของบริษัทที่มีกำไรสุทธิจำนวน 179.97 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลรอบที่ 2 (รอบพิเศษ) สำหรับผลการดำเนินการของไตรมาสดังกล่าว นำมาประกอบการตัดสินใจซื้อหุ้นของบริษัทตัวเองผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของผู้อื่นจำนวน 3 คนด้วยกัน
 
ข้อสังเกตก็คือธุรกรรมรูปแบบนี้ เป็นการพยายามปกปิดว่าตัวเองได้ใช้ข้อมูลภายในเข้าซื้อหุ้น ด้วยการใช้ “บัญชีคนอื่น” มาซื้อหุ้นก่อนที่ข่าวดีจะออก ซึ่งเป็นเจตนาที่ชัดเจนของ Insider Trading แต่คำถามก็คือการทำทุจริตแบบนี้ ก.ล.ต.สามารถตรวจสอบได้อย่างไร ถึงรู้ว่าทั้ง 3 บัญชีมีความเกี่ยวข้องกับคนภายในบริษัท จริง ๆ แล้ว การดำเนินการตรวจสอบมีความเกี่ยวโยงกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ทั้งสองหน่วยงานมี “ระบบเฝ้าระวังการซื้อขายผิดปกติ” ที่ละเอียดมาก โดยใช้ทั้งข้อมูลเชิงเทคนิคและข้อมูลเชิงพฤติกรรม เช่น การใช้ระบบตรวจจับพฤติกรรมซื้อขายผิดปกติ มาวิเคราะห์ว่าทุกวันนี้มีหุ้นตัวไหนที่มีปริมาณซื้อขาย (Volume) หรือ ราคาขยับขึ้นลงผิดปกติก่อนมีข่าวสำคัญที่ส่งผลต่อราคาหุ้นนั้น ๆ ถ้าเจอว่าหุ้นตัวไหนขยับแรง ระบบจะทำเครื่องหมายว่าเป็น “ธุรกรรมที่น่าสงสัย” ไว้ จากนั้นก็จะตรวจสอบรายชื่อผู้ซื้อขาย (Trading Accounts Check) ว่าใครบ้างที่ซื้อหุ้นในช่วงผิดปกติ และมีชื่อหรือบัญชีเกี่ยวข้องกับผู้บริหารในบริษัทไหม (เช่น เป็นญาติ, คนใกล้ชิด หรือนิติบุคคลที่เชื่อมโยงกัน) ซึ่งถ้าเจอก็จะถูกตรวจสอบลึกขึ้นถึงเส้นทางการเงินและความเชื่อมโยง (Forensic Audit) เช่น พบว่ามีเงินโอนมาจากบัญชีของกรรมการในบริษัท ก. เข้าไปยังบัญชีชื่อคนอื่น แล้วพบว่าบัญชีนั้นได้เข้าซื้อหุ้น ก. พอดีก่อนข่าวดีของบริษัทจะประกาศ เมื่อเจอเส้นทางแบบนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะ “ส่งรายงานสงสัย” ให้ ก.ล.ต. ตรวจสอบเชิงลึกต่อ ซึ่งใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี จึงเป็นเหตุผลว่าในกรณีคดีของบริษัทเถ้าแก่น้อย ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการส่งข้อมูลไปตั้งแต่เดือนมี.ค.2566 ว่าพบความผิดปกติของการกระทำผิดในระหว่างวันที่ 5 ส.ค - 9 พ.ย. 2565 และ ก.ล.ต. เพิ่งจะมีการประกาศการดำเนินคดีเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2568 ที่ผ่านมานี้
 
แล้วเจ้าของบริษัทหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับภายใน ไม่สามารถซื้อหุ้นได้เหรอ?
 
จริง ๆ แล้ว ผู้บริหารหรือกรรมการของบริษัทจดทะเบียน “สามารถซื้อขายหุ้นตัวเองได้” รวมถึงคนใกล้ตัวก็สามารถซื้อได้ แต่ต้องทำอย่างเปิดเผยและไม่ใช้ข้อมูลภายใน เพราะกฎหมายไทยตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ นั้น “ห้ามกรรมการ ผู้บริหาร หรือผู้ที่รู้ข้อมูลภายในของบริษัท ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของบริษัทนั้น โดยอาศัยข้อมูลภายในที่ยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ” หมายถึงว่าแค่ซื้อเพราะว่าเชื่อมั่นบริษัทตัวเองก็สามารถซื้อได้ แต่ถ้ามาซื้อใน Time Line ก่อนข่าวดีประกาศหรือรู้ว่ากำลังจะมีเหตุการณ์สำคัญที่กระทบราคาหุ้น ก็จะเข้าข่ายผิดกฎหมายทันที นอกจากนี้ การกระทำที่เข้าข่าย Insider Trading ก็จะเป็นในสถานการณ์ เช่น พนักงานในบริษัทเห็นงบกำไรจะโตแต่ยังไม่ได้มีการประกาศแล้วไปบอกเพื่อนให้ซื้อหุ้นของบริษัทตัวเอง หรือ ทีมผู้บริหารเข้าซื้อหุ้นโดยรู้ว่าจะมีดีลใหญ่ของบริษัทแต่ยังไม่ประกาศ เป็นต้น โดย ก.ล.ต. สามารถตรวจความสัมพันธ์ระหว่างคนซื้อกับบริษัท ตั้งแต่แหล่งข่าวภายในบริษัท เส้นทางการเงิน ไปจนถึงการติดต่อสื่อสารทางข้อความหรือโทรศัพท์ได้เลย
 
ซึ่งผลที่ตามมาเมื่อถูก ก.ล.ต. เปิดโปงการกระทำความผิดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนนั้น ๆ เป็นทีมผู้บริหาร หรือเจ้าของบริษัท ก็แน่นอนว่าตลาดคงจะสูญเสียความมั่นใจในการลงทุนไปโดยปริยาย เพราะเป็นการกระทำที่คล้ายกับเป็นการหักหลังความเชื่อใจที่ให้ไป (ตัดสินใจเข้าไปลงทุนเพราะเชื่อถือบริษัท) ดังนั้นภาพลักษณ์ที่เสียไปแล้วจะยากมากในการกู้คืนกลับมา เพราะกว่าจะกู้ขึ้นมาได้ ราคาหุ้นก็อาจจะดิ่งลงจนสร้างความเสียหายให้กับบริษัทไปมากแล้วถ้าไม่มีการเรียกความน่าเชื่อถือกลับมาอย่างมีประสิทธิภาพมากพอ

LastUpdate 02/11/2568 20:48:55 โดย : Admin
กลับหน้าข่าวเด่น
06-11-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 6, 2025, 6:16 pm