
จากประเด็นข้อถกเถียงถึงเรื่องความเหมาะสมของการบริจาคเงิน เพื่อช่วยเหลือกองทัพไทยกรณีความขัดแย้งทางชายแดนไทย-กัมพูชานั้น แม้จะมีใครหลายคนตีความว่า การที่มูลนิธิถูกเรียกตรวจสอบ และมีคนขอเงินบริจาคคืนนั้น คือความไม่เป็นธรรมที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ทำความดีให้กับสังคม จึงเกิดเป็นการปะทะกันในสื่อสังคมออนไลน์และลุกลามไปสู่การสร้างความปั่นป่วน ด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีของผู้ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามทางความคิด โดยอาจจะเพื่อสร้างความสะใจ หรือเป็นการตอกกลับเพื่อทวงความยุติธรรมให้มูลนิธิ แต่การกระทำนี้ เข้าข่ายการกระทำผิดด้านกฎหมาย ที่สามารถเอาผิดด้วยการดำเนินคดีทางอาญาได้หลายกระทงเลยทีเดียว
จริงอยู่ที่ว่า “เงิน” คือสิ่งจำเป็นในชีวิตที่ใคร ๆ ก็ต่างต้องการกันทั้งนั้น ถ้าใครมาให้เงินเรา ปกติแล้วก็มีแนวโน้มว่าอยากจะรับไว้มากกว่าจะปฏิเสธอย่างจริงจัง แต่ถ้าหากพูดถึงกันในเรื่องของ “เจตนา” ที่อยู่ในบริบททางกฎหมาย จะกลายเป็นเรื่องที่กลับตาลปัตรไปเลย เพราะหากมันเป็นการกระทำที่มุ่งเน้นให้เกิดความเสียหาย หรือตั้งใจที่จะให้เกิดผลเสียกับคนที่รับ แม้ภาพจะออกมาว่าเป็นการ “ให้เงิน” พวกเขา แต่กฎหมายที่คุ้มครองประชาชนจะตีความแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง อย่างประเด็นร้อนในสังคมไทยปัจจุบัน ที่มีฝ่ายแฟนคลับของมูลนิธิบริจาค รุมโจมตีคนที่เรียกคืนเงินบริจาคจากมูลนิธิ ด้วยการเปิดเผยบัญชีกับคนในกลุ่มตัวเอง เพื่อป่วนโอนเงินเข้าไปในบัญชีอีกฝ่าย ตั้งแต่หลักสตางค์ ไปจนถึง บาทสองบาท หรือ 20 บาท จากนั้นก็ทำการแปะสลิปส่งไปให้ดูเพื่อหวังว่าจะทำการเรียกคืนบ้าง หรือเพื่อความสะใจใด ๆ ก็ตาม ซึ่งมันมีความผิดทางอาญา และมีความรุนแรงในการเอาผิดเนื่องจากบัญชีดังกล่าวเป็น “บริษัทมหาชน”
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า บริษัท จัดเป็นนิติบุคคลที่มีการดำเนินกิจการ ซึ่งจะมีเรื่องของการจัดทำบัญชีงบการเงินเพื่อสรุปยอดค่าใช้จ่าย รายได้ กำไร ขาดทุน อันมาสู่ผลการดำเนินกิจการ และข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ที่ต้องรายงานต่อผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงกรมสรรพากร ยิ่งเมื่อเป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยแล้ว ข้อมูลต่าง ๆ ต้องมีความชัดเจนอย่างมาก โดยเฉพาะข้อมูลของบัญชี เพราะจะสำคัญต่อ การยื่นแบบแสดงรายการภาษี (เช่น ภ.ง.ด. 50) และ นำส่งงบการเงิน ต่อกรมสรรพากรเพื่อเป็นหลักฐานในการคำนวณและชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมถึงยังต้องนำเสนอผลการดำเนินงานและงบการเงินต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ที่มีหน้าที่ดูแลให้กิจการในตลาดทุนดำเนินงานอย่างโปร่งใสอีกด้วย
ฉะนั้น การที่มี “ธุรกรรมที่ไม่ได้เกิดจากการเรียกเก็บ” ของบริษัทเข้ามา และยังเข้ามาถี่ด้วยจำนวนเล็ก ๆ ทีละบาทสองบาท เป็นการทำให้ระบบบัญชีวุ่นวาย ทำให้ผู้สอบบัญชีของบริษัทต้องมานั่งตรวจสอบข้อผิดพลาดของงบ เพราะจะเป็นเรื่องแน่ ๆ หากไม่สามารถตอบกรมสรรพากร หรือ ก.ล.ต. ได้ว่า หนึ่งบาท หรือห้าสิบสตางค์ ที่เกินมานี้มาจากไหน ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงบริษัทมหาชน รวมถึงผิดกฎหมายอย่างแน่นอน จึงเป็นที่มาว่าบริษัทส่วนใหญ่หากตรวจพบการโอนเงินโดยไม่ทราบแหล่งที่มาก็จะดำเนินการแจ้งความทันทีเพื่อปกป้องตัวเอง เช่นเดียวกันกับการที่ฝ่ายของคนที่โดนป่วนโอนเงินเข้ามาในบริษัทมหาชนของเขา จะประกาศว่าจะดำเนินคดีทันที เพราะเขาสามารถเอาผิดทางคดีอาญาได้ในหลายข้อหา เช่น ความผิดฐานรบกวนการประกอบกิจการของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 397 ที่เกี่ยวกับการก่อความเดือดร้อนรำคาญ หรือ หากมีการกระทำที่โอนจากบัญชีผ่าน Mobile Banking หรือสร้างข้อมูลเท็จในโลกโซเชียลซึ่งนำมาสู่ความปั่นป่วนดังกล่าว อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(1) ที่เกี่ยวกับการนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น โดยเฉพาะถ้าเจตนาเพื่อ “ทำให้ระบบบัญชีสับสน” หรือ “ทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงบริษัทมหาชน” ก็จะยิ่งมีน้ำหนักทางคดีอาญามากขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ ยังเข้าข่ายความผิดฐานขัดขวางหรือทำให้เสียหายต่อการดำเนินงานของนิติบุคคล โดยถ้าโอนเงินเข้ามาในลักษณะ “ถี่และจงใจ” จนทำให้ระบบบัญชีวุ่นวาย ก็เท่ากับเป็นการก่อความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือระบบการบริหารของบริษัทของคนอื่น ที่บริษัทมีสิทธิ์แจ้งข้อหา “ทำให้เสียทรัพย์โดยเจตนา” ได้ แม้ไม่ใช่ความเสียหายเชิงมูลค่า (แต่เป็นเชิงระบบ) และยิ่งใครเป็นตัวตั้งตัวตีที่ชักชวนคนในโซเชียล ให้มีคนโอนเงินเข้ามาป่วน เช่นโพสแปะข้อมูลบัญชีออกสู่สาธารณะ ก็อาจเป็นความผิดฐานยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามมาตรา 85 - 86 ได้
ส่วนในความผิดฐาน PDPA ที่เกี่ยวกับการเปิดเผย “ข้อมูลส่วนบุคคล” โดยไม่ชอบ ทำให้เจ้าของข้อมูลเกิดความเสียหายนั้น จากกรณีดังกล่าว อาจจะเรียกได้ว่าเป็นจุดก้ำกึ่ง เพราะ PDPA คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลธรรมดา ไม่ได้คุ้มครองข้อมูลของนิติบุคคลอย่างบริษัทมหาชน ที่มีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอยู่แล้ว (เช่น ชื่อบริษัท เลขบัญชีเพื่อรับชำระ หรือข้อมูลการเงินในรายงาน) แต่ถ้าบัญชีนั้น “สื่อโยง” ถึงตัวบุคคล เช่น บัญชีบริษัทนี้เป็นของนาย ก. แล้วคนที่เอาข้อมูลนี้ไปเผยแพร่ตีความได้ว่ามีเจตนาให้คนอื่น “โอนเงินป่วน” ก็อาจเข้าข่าย “การประมวลผลข้อมูลโดยไม่ได้รับความยินยอม” ซึ่งอาจคุ้มครองได้บางส่วน แต่ไม่ทั้งหมด
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การป่วนคนอื่นด้วยการโอนเงินเข้าบัญชี ก็ไม่ใช่สิ่งที่สมควรกระทำ แม้อาจจะได้ความสะใจชั่ววูบ แต่ผลที่ตามมาจากที่เราแกล้งโอนไปแค่บาทสองบาท อาจต้องจ่ายค่าปรับเพิ่มขึ้นเป็นสองแสนบาท แล้วยังต้องเสียเวลามาขึ้นศาลซึ่งสร้างความเสียหายทั้งเวลาและทรัพย์สินอีกด้วย ดังนั้นควรเอาเงินที่มีอยู่เก็บสะสมไว้ หรือเอาไปช่วยเหลือคนอื่น ก็พิจารณาบริจาคกับทางบัญชีที่เปิดเป็นมูลนิธิที่น่าเชื่อถือ เช่น มีฐานข้อมูลอยู่ในระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากร ก็จะทำให้เกิดสิทธิประโยชน์สำหรับผู้บริจาคในการเอาไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย
ข่าวเด่น