
สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วโลกทุกการขยับตัวจริง ๆ สำหรับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ที่เมื่อสิ้นเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ได้มีการประกาศว่าตัวเขาเองได้สั่งการให้กระทรวงสงคราม (กระทรวงกลาโหม) ทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ทันทีในระดับเท่าเทียมกับประเทศอื่น โดยเป็นผลพวงมาจากการที่ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน ได้มีประกาศความสำเร็จเรื่องการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ก่อนหน้านี้ โดยผลที่ตามมาหลังทรัมป์ประกาศก็คือ ความผันผวนของราคาตลาดทองคำ ที่กลับมาฟื้นตัวทันทีหลังจากการประกาศของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่ได้ย่อตัวลงไป ซึ่งเป็นสัญญาณหนึ่งของความเป็นไปได้ว่า “สงครามครั้งสำคัญของโลก” อาจเข้ามาใกล้ตัวเรายิ่งขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
ผู้อ่านหลายคนอาจมีความสงสัยว่า กับแค่การทดสอบนิวเคลียร์มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอ? เพราะอย่างประเทศเกาหลีเหนือเองก็ชอบขู่นานาชาติเรื่องนิวเคลียร์ของตัวเองมาหลายสิบปีแล้วแต่ก็ยังไม่มีอะไร คือพวกเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า บริบทระหว่างสองประเทศนี้แตกต่างกันมาก เพราะสหรัฐคือประเทศมหาอำนาจที่มีภาพลักษณ์ในด้านการรักษาสันติภาพของโลก (แม้ว่าบางประเทศจะไม่คิดเช่นนั้น) ผ่านบทบาทองค์กรระหว่างประเทศและการทูตที่มีสถานภาพเป็นผู้คุมกติกา หรือก็คือพี่ใหญ่อย่างที่เราเข้าใจกันในการตัดสินดำขาวเรื่องความขัดแย้งต่าง ๆ
แต่ประเด็นก็คือ สหรัฐไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจเพียงประเทศเดียว แต่ยังมีรัสเซียและจีน เป็นขั้วอำนาจฝ่ายตรงข้าม หรือคู่แข่งที่คอยคานอำนาจของสหรัฐตั้งแต่ช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเย็นตามลำดับ ซึ่งความขัดแย้งตลอดมาที่ซุกซ่อนอยู่ใต้พรมนี้ ทำให้สงบลงได้บ้างด้วยการจำกัดกรอบว่าจะไม่ขัดแย้งจนเกินเลยกันในระดับสงครามที่ใช้นิวเคลียร์เป็นอาวุธด้วยสนธิสัญญาห้ามการทดลองนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ (CTBT) ที่ได้มีการลงนามร่วมกันเมื่อปี ค.ศ. 1996 รวมถึงประเทศอื่น ๆ ในโลกก็ลงนามด้วย (ยกเว้น อินเดีย ปากีสถาน และเกาหลีเหนือ) ทำให้ที่ผ่านมาหลังสนธิสัญญา จำนวนหัวรบนิวเคลียร์ที่แต่ละประเทศมีนั้นได้กลายเป็นความลับ แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งก็ทำให้เกิดการเฝ้าระวัง ทดสอบอำนาจลองเชิงกันไปมาโดยมีเส้นบาง ๆ ของสนธิสัญญาดังกล่าวขวางกั้นไว้อยู่
แต่การที่รัสเซียได้เพิกถอนการให้สัตยาบัน CTBT อย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 2023 และในเดือน ต.ค. ของปีนี้ที่ผ่านมาสด ๆ ร้อน ๆ นั้น รัสเซียได้จัดการซ้อมรบที่มีการประกาศความสำเร็จในการทดสอบตอร์ปิโดพลังงานนิวเคลียร์ ที่ชื่อว่า “โพไซดอน” ซึ่งใช้กับโดรนใต้น้ำไร้คนขับ และยังมีการประกาศความสำเร็จในการทดสอบขีปนาวุธร่อนพลังงานนิวเคลียร์รุ่นใหม่ที่ชื่อ “บูเรเวสต์นิก” อีกด้วย แม้ว่ายังไม่ใช่การทดสอบหัวรบนิวเคลียร์ (ที่สร้างความเสียหายระดับมหาศาลกับพื้นที่ขนาดใหญ่) แต่ก็เป็นการยกระดับความพร้อมทางทหารและส่งสัญญาณทางการเมืองในช่วงเวลาเดียวกับที่สหรัฐได้คว่ำบาตรบริษัทน้ำมันรัสเซียก่อนหน้านี้
แน่นอนว่าผู้นำสหรัฐอย่างทรัมป์ ที่มีสไตล์การดำเนินการทางการเมืองเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้โต้ตอบรัสเซียด้วยการประกาศไปยังทั่วโลกว่า สหรัฐจะมีการกลับมาทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ หลังจากหยุดไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 (หลังสงครามเย็นจบ) หรือ เมื่อ 33 ปีที่แล้ว ด้วยเหตุผลว่า เนื่องจากมีโครงการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศอื่น ๆ เกิดขึ้น เราจึงต้องเริ่มทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ของเราอย่างเท่าเทียมกัน โดยมีการสั่งการให้ทางกระทรวงสงครามเริ่มต้นกระบวนการดังกล่าวในทันที พร้อมกับยังโพสต์เสริมลงโซเชียลมีเดียอีกด้วยว่าสหรัฐ เป็นประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์มากกว่าประเทศอื่น โดยระบุว่า รัสเซียอยู่อันดับ 2 และจีนอยู่เป็นอันดับ 3
โดยการประกาศทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ดังกล่าวของสหรัฐ เทียบได้กับสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ทางทหารและการเมืองระดับโลก เพราะสิ่งนี้คือเครื่องมือที่ใช้ในการขู่และการต่อรองทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่สหรัฐก็คงไม่นิ่งดูดายมองรัสเซียทำการข่มขวัญอยู่ฝ่ายเดียว แต่การที่สหรัฐ “กลับมาทดสอบอีกครั้ง” การกระทำนี่เท่ากับว่า สหรัฐผู้รักษาสันติภาพของโลกแห่งศตวรรษนี้ กำลังฉีกสนธิสัญญา CTBT จากที่ปฏิบัติตามโดยสมัครใจมาตลอดกว่า 30 ปี แม้ยังไม่ได้ให้สัตยาบันก็ตาม
ผลที่ตามมาก็คือ “กติกาโลกเรื่องนิวเคลียร์ไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปแล้ว” เพราะสหรัฐฆ่าสนธิสัญญานี้โดยพฤตินัย ทำให้ประเทศอื่นจะยกเลิกการให้สัตยาบัน จนสนธิสัญญาดังกล่าวจะกลายเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ไม่มีผลจริง ส่วนประเทศที่ไม่เคยลงนามเลย ก็อาจจะใช้โอกาสนี้กระทำการข่มขวัญประเทศฝ่ายตรงข้ามของตนเองอย่างเต็มที่มากขึ้น ทำให้สุดท้ายทั้งโลกมีโอกาสเข้าสู่ยุค “สงครามเย็น 2.0” ที่ประเทศต่าง ๆ เช่น ประเทศพันธมิตร NATO อย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือยุโรปตะวันตก ได้รับแรงกดดันจนต้องเริ่มพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเองเพื่อ “ป้องกันตัว” จากภัยไม่แน่นอนในอนาคต
ดังนั้นการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ จึงไม่ใช่การลองยิงดูเล่น ๆ แต่เป็นการส่งสัญญาณข่มขวัญเชิงสัญลักษณ์ ที่นำไปสู่การยกเลิกกติกาโลกที่ควบคุมความสงบสุขตลอดมา ผลก็คือทำให้ต่างฝ่ายต่างเริ่มหวาดระแวงซึ่งกันและกันว่าวันดีคืนดีฝ่ายศัตรูอาจทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ใส่ประเทศตัวเองก็ได้ จึงเกิดการแข่งขันสะสมอาวุธ (Arms Race) รอบใหม่ รวมถึงการสะสมทองคำที่มากขึ้นในตลาดโลกจากความกังวลด้านสงครามที่อาจปะทุขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีนักวิชาการหลายคนมองว่า ทรัมป์อาจใช้ข่าวการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์มากระตุ้นราคาทองคำโลก หลังจากผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ ทำให้ราคาทองคำร่วงหลุด 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ ไปก่อนหน้านี้
ข่าวเด่น