
"หนี้ครัวเรือน" จัดเป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศไทยที่คอยฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมาอย่างยาวนาน จากที่มีสัดส่วนต่อ GDP แค่ 51% ในปี 2000 ก็ขยับขึ้นมาเกือบ 90% ภายในสองทศวรรษ และยิ่งมีพิษเศรษฐกิจอื่น ๆ รุมเร้าเข้ามา ผนวกกับคุณภาพชีวิตของคนไทยที่พัฒนาช้ามาก ทำให้ปัญหาเรื่องหนี้ได้กลายเป็นวิกฤตที่แตกหน่อสร้างผลกระทบไม่รู้จบ จนดำเนินมาถึงการที่คนในสังคมโดนยึดที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้นกว่า 2 เท่าตัวภายในปีเดียว เสี่ยงต่อการเกิดปัญหานานัปการตามมาหากรัฐยังไม่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอได้
รายได้ต่อหัวของคนไทยในปี 2568 คาดว่าจะยังคงตัวอยู่ในระดับต่ำ โดยคาดการณ์จากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ฯ ว่าจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 269,577 บาทต่อคนต่อปี เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังมีข้อจำกัดจากภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่คงอยู่ในระดับสูง ซึ่งเมื่อพิจารณาในส่วนของหนี้สินครัวเรือนแล้วจะพบว่า หลายครัวเรือนไทยมีการกู้เงินเพิ่มขึ้นเพื่อการบริโภค เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 นั้นยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ทั้งรายได้ที่ลด ตัวเลือกงานที่น้อย ทำให้ความสามารถในการใช้จ่ายไม่สามารถครอบคลุมปัจจัยในการใช้ชีวิตได้ครบถ้วน จึงเกิดการกู้ยืม ที่ยิ่งทำให้หนี้ดังกล่าวนั้น นอกจากจะไม่ใช่หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้แล้ว (เป็นหนี้บริโภค เช่น บัตรเครดิต รถ บ้าน สินเชื่อส่วนบุคคล) ยังเป็นภาระหนักต่อการใช้ชีวิต การออม และการจับจ่าย ที่เกิดสภาวะชักหน้าไม่ถึงหลังกับคนไทยจำนวนมาก
ประกอบกับการที่สังคมปัจจุบันยังไม่มีความรู้ในการบริหารการเงินที่เพียงพอ และไลฟ์สไตล์ตามอิทธิพลของโซเชียลมีเดียที่ค่อนข้างจะกล้าใช้จ่ายไปกับสิ่งฟุ่มเฟือย แม้กระทั่งจะต้องเอาเครดิต หรือเงินในอนาคตมาจ่ายก่อนก็ตาม ดังนั้นหนี้สินจึงพอกพูนมาจนถึงจุดที่ครัวเรือนต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะจัดการค่าใช้จ่ายขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นหนี้ก้อนใหญ่อย่างค่าผ่อนบ้านได้แล้ว โดยทางศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ REIC ได้เปิดเผยถึงข้อมูลตลาดที่อยู่อาศัยมือสองในไตรมาส 2 ของปี 2568 นี้ว่า มีจำนวนการประกาศขายบ้านมือสอง เพิ่มขึ้นถึง 34.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบ้านมือสองส่วนใหญ่ที่นำมาประกาศขายนั้น มาจากการประกาศขายของ “กรมบังคับคดี” หน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่ดำเนินการบังคับคดีแพ่งและคดีล้มละลาย อย่างการยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้
โดยยอดการยึดบ้านเพื่อเอามาขายต่อในตลาดของกรมบังคับคดีในปีนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 67,641 หน่วย เพิ่มขึ้นสูงถึง 210.1% จากปีก่อน คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งในจำนวนดังกล่าว บ้านที่โดนยึดมากที่สุด เป็นในกลุ่มของ “บ้านหรือที่อยู่อาศัยราคาต่ำ” ที่มีราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท แสดงถึงลูกหนี้ที่ถูกยึดบ้านส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประชาชนรายได้น้อยถึงปานกลาง สอดคล้องกับที่ทาง สภาพัฒน์ฯ เปิดเผยว่า เหตุผลหลักที่มีการยึดบ้านเป็นเพราะ ลูกหนี้กลุ่มนี้ขาดความสามารถในการผ่อนต่อได้หลังจากภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และการขาดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งการโดนยึดบ้านก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่ใช่จุดจบเสียด้วยซ้ำ เพราะผลการศึกษาของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังพบว่า 1 ใน 3 ของของลูกหนี้ในคดียึดทรัพย์ ยังคงติดอยู่ในวงจรหนี้ แม้บ้านจะถูกขายทอดตลาด ก็อาจถูกยึดหรืออายัดทรัพย์สินเพิ่มเติมอีกด้วย
และเมื่อพิจารณาตามเศรษฐกิจในภาพใหญ่ ที่แม้ว่าในช่วงในไตรมาส 2 ของปีนี้ หนี้ครัวเรือนจะปรับลดลงมา 0.3% อยู่ที่ 16.31 ล้านล้านบาท แต่ก็ไม่ได้มาจากการที่คนมีหนี้น้อยลง เนื่องจากแท้จริงแล้ว เป็นเพราะภาคธนาคารระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อใหม่ จากเหตุผลที่ครัวเรือนมีความสามารถในการจ่ายหนี้ได้น้อยลง นอกจากนี้แล้วในสภาวะที่สินเชื่อหดตัวเกือบทุกประเภท ยกเว้น สินเชื่อส่วนบุคคล ที่ขยายตัว 4.1% และ “สินเชื่อเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์” ที่ขยายตัว 1.7% มูลค่ากว่า 5.7 ล้านล้านบาท แต่หนี้เสียก็กลับปรับตัวเพิ่มขึ้นล้อไปกับจำนวนการโดนยึดบ้านตามที่ได้กล่าวไปด้วย ดังนั้นสิ่งสำคัญในตอนนี้ คือภาครัฐต้องมีการออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ให้มากที่สุด พร้อมกับการกระตุ้นเศรษฐกิจร่วมด้วย เพื่อกันไม่ให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนลุกลามไปจนถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นต่อไปอย่าง คนไร้บ้าน หรือการเพิ่มขึ้นของอาชญากรรม ที่บ่งบอกว่าคุณภาพชีวิตของคนไทยได้เสื่อมถอยลงไปถึงจุดต่ำสุดแล้ว
ข่าวเด่น