Scoop : "Expense Ratio" แนวทางจัดการค่าใช้จ่าย เพื่อสุขภาพการเงินที่ดีในระยะยาว


 
หลักสูตรการศึกษาในประเทศไทย ก็คงต้องพูดกันตามตรงว่ายังไม่มีการปูพื้นฐานทางด้านการจัดการเงินที่เพียงพอนัก เมื่อพ้นจากรั้วของโรงเรียนและเข้าสู่สนามของการใช้ชีวิตเป็นผู้ใหญ่ ที่ต้องรับผิดชอบชีวิตและการเงินของตัวเอง จึงประสบปัญหาของการมีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย จนก่อเกิดเป็นหนี้ที่กระทบกับคุณภาพชีวิตของตัวเองในที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นผลจากการจัดการเงินที่ไม่เป็นระบบ หรือไม่มีหลักการในการคุมระบบการเงินส่วนบุคคล ดังนั้น “Expense Ratio” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ใครหลาย ๆ คนควรรู้เอาไว้ เพื่อนำไปบริหารรายได้และค่าใช้จ่ายของตัวเองให้มีความเหมาะสม และยังสามารถวางแผนสุขภาพทางการเงินที่ดีเพื่อความมั่นคงในระยะยาวได้อีกด้วย
 
Expense Ratio หรือ อัตราส่วนค่าใช้จ่าย จัดเป็นเครื่องมือที่เอาไว้ประเมินภาระทางการเงินของกองทุนรวม หรือกองทุน ETF เพื่อดูว่ากองทุนดังกล่าวมีการบริหารจัดการที่คุ้มค่าแก่การลงทุนหรือไม่ ซึ่งนอกจากการประเมินในสินทรัพย์ของโลกการลงทุนแล้ว เรายังสามารถเอามาปรับใช้เป็นแนวทางในการจัดการค่าใช้จ่าย เพื่อดูแลสุขภาพกระแสเงินสดส่วนตัวแบบจริงจังได้ด้วย โดยเครื่องมือนี้จะทำให้เราเห็นทิศทางของค่าใช้จ่ายทั้งหมด เห็นความเสี่ยงจากภาระหนี้ ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ให้เข้ากับวิถีชีวิตและรายได้ของตนเองได้
 
โดยปกติแล้ว สูตรของการบริหารเงินที่นิยมใช้จะเป็น สูตร 50/30/20 ที่แบ่ง 50% แรก สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น อย่างบ้าน ค่าบิล อาหาร หรือค่าเดินทาง ส่วน 30% สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อความสุขหรือให้รางวัลกับตัวเอง เช่น งานอดิเรก ช้อปปิ้ง กินขนม และ 20% สำหรับการออม ลงทุน และชำระหนี้ แต่จริง ๆ เราสามารถใช้ Expense Ratio ดูสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ เพื่อพิจารณาว่าค่าใช้จ่ายแต่ละหมวด “กินพื้นที่รายได้กี่ %” ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้สูตรที่ตายตัวตามตัวอย่างข้างต้น เนื่องจากวิถีชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
 
โดยใน Expense Ratio สามารถแบ่งออกเป็น Ratio ย่อย ๆ เพื่อไม่ให้หมวดค่าใช้จ่ายมีการปะปนกัน และยังสามารถเรียงระดับความจำเป็นของแต่ละคนได้ เช่น การแบ่งออกเป็น 5 Ratio หลัก ดังนี้

1. Housing Ratio = ผ่อนบ้าน/เช่า ÷ รายได้
2. Debt Ratio = หนี้ทุกอย่าง ÷ รายได้
3. Essential Expense Ratio = ค่าใช้จ่ายจำเป็น ÷ รายได้
4. Lifestyle Ratio = ไลฟ์สไตล์ดับเบิลชีสทั้งหลาย ÷ รายได้
5. Saving Ratio = เงินเก็บ/ลงทุน ÷ รายได้
 
โดยการแยกค่าใช้จ่ายแบบนี้ เราสามารถตั้ง “กรอบ” ในสัดส่วนเงินที่จะใช้แต่ละอันได้ เช่น 30-30-20-10-10 หรือ 40-20-20-10-10 ตามบริบทของตัวเอง สมมติว่ามีการตั้ง Expense Ratio ให้ไม่เกิน 70% ของรายได้ ซึ่งด้วยรายได้ 150,000 บาท/เดือน ก็อาจแบ่งได้ดังนี้

1) Housing Ratio – ผ่อนบ้าน/ที่อยู่อาศัย

หากต้องผ่อนบ้าน  30,000 บาท  

Housing Ratio = 30,000 ÷ 150,000 = 20%

2) Debt Ratio (ภาระหนี้อื่น ๆ รวมกับค่าบ้าน)

ในตอนนี้ที่มีภาระหนี้ผ่อนบ้านอยู่แล้วด้วย Debt Ratio = 20% ในอนาคตอาจสามารถซื้อรถหรือผ่อนอย่างอื่น เพื่อไม่ให้เกิน หนี้รวมทั้งหมด 30% (45,000 บาท/เดือน) ก็อาจมียอดที่ใช้ได้อีกประมาณ 15,000 บาท

3) Essential Expense Ratio (ค่าใช้จ่ายจำเป็น)

ที่รวมทั้งค่ากิน, ค่าน้ำค่าไฟ, ค่าเดินทาง, ค่าอินเตอร์เน็ต, ประกันสุขภาพพื้นฐาน ก็จะอยู่ในช่วงที่เหมาะสมประมาณ 25% ของรายได้ หรือ 35,000–40,000 บาท

4) Lifestyle Ratio (ใช้ชีวิต/ความสุข)

เป็นค่าใช้จ่ายในหมวดของฟุ่มเฟือย หรือสิ่งของที่อยากได้เป็นรางวัลให้กับตัวเอง ซึ่งสัดส่วนที่แนะนำคือ 10–15% ของรายได้ หรือประมาณ 15,000–22,000 บาท/เดือน

5) Saving & Investment Ratio (เงินเก็บ และการลงทุน)

จากจำนวนเงินที่เหลือด้วยการตั้ง Expense Ratio ข้างต้น 70% ก็จะเหลือเงินในสัดส่วนนี้อยู่ที่ 45,000 บาท ก็สามารถนำไปจัดพอร์ตทางการเงินของตัวเองได้ต่อ เช่น

• กองทุน/หุ้น 20,000 บาท
• กองทุนสำรองฉุกเฉิน 10,000 บาท
• DCA ระยะยาว 10,000 บาท
• เงินสด  5,000 บาท
 
โดยทั้งหมดนี้ จะทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้นว่ารายได้นั้นไหลไปไหนบ้าง และต้องปรับเปลี่ยนค่าใช้จ่ายตรงส่วนไหนหรือไม่ เพื่อให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตของตัวเองที่สุด และเพื่อสุขภาพทางการเงินที่ยังคงสามารถหล่อเลี้ยงชีวิตเราได้อย่างมั่นคงในระยะยาว โดยไม่สร้างภาระต่อตัวเองหรือผู้อื่นในอนาคต

LastUpdate 03/12/2568 21:03:32 โดย : Admin
กลับหน้าข่าวเด่น
03-12-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 3, 2025, 11:52 pm