
หลังจากที่ไทยสูญเสียตลาดในกัมพูชา และได้เห็นผลเสียของการพึ่งพาสหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่ง ที่สร้างความสั่นคลอนต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไทยอย่างในทุกวันนี้ ทำให้การกระจายความเสี่ยงด้วยการเปิดเส้นทางการค้ากับประเทศใหม่ๆ ดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่จะนำพาให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตเต็มศักยภาพอีกครั้ง
GDP หรือการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ที่ในปี 2568 ประเมินว่าจะเติบโตต่ำกว่าศักยภาพเพียง 2.0% และชะลอตัวลงต่อเนื่องสู่ 1.6% ในปี 2569 เนื่องจากปัจจัยกดดันรอบด้าน โดยเฉพาะมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐที่ยังไม่มั่นคง คาบเกี่ยวกับปัญหาระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งทั้งสองเป็นประเทศที่ไทยเกินดุลทางการค้า อันส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของไทยก่อนหน้าที่จะมีปัญหาขึ้นมา ทำให้ไทยจำเป็นต้องมีการเสาะหาตลาดใหม่ เพื่อเปิดเส้นทางการค้าและสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจไทย ซึ่งประเทศซาอุดีอาระเบีย ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นตลาดศักยภาพที่จะแก้เกมให้กับไทยได้ในเวลานี้ ด้วยประชากรกว่า 36 ล้านคน ที่มีกำลังซื้อสูง พร้อมกับการเปิดกว้างของรัฐบาลซาอุดีอาระเบียที่ลงทุนใน Wellness, Healthcare, การท่องเที่ยว และผู้หญิงมุสลิมรุ่นใหม่ ที่แม้จะเป็นตลาด Halal ที่เข้มงวดแต่ก็เปิดกว้างสำหรับสินค้าใหม่ พร้อมกับการฟื้นสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบียกลับมาแน่นแฟ้น ทั้งหมดนี้ได้กรุยทางให้สินค้าไทยเข้าไปเจาะตลาดดังกล่าวได้ง่ายขึ้น
โดยทางด้านของนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็ได้มีการนำคณะผู้แทนการค้าไทยจากภาครัฐและเอกชน เยือนซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 3-5 ธันวาคม 2568 เข้าเจรจาการค้าเพื่อผลักดันสินค้าไทยสู่ผู้บริโภคตะวันออกกลาง โดยตั้งเป้าเจาะตลาดซาอุดีอาระเบียเป็นประตูการค้าสู่ภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งการเข้าหารือกับ ดร.มาญิด บินอับดุลเลาะฮ์ อัลกอเศาะบี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ซาอุดีอาระเบีย ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้ด้วยดี เพราะทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะจัดทำแผนงานความร่วมมือด้านบริการ ในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ เช่น การท่องเที่ยว ร้านอาหาร สปา และบริการด้านสุขภาพ รวมทั้งความร่วมมือด้านแรงงานมีฝีมือ เช่น เชฟ และพนักงานในสาขาท่องเที่ยว โดยไทยจะสนับสนุนแรงงานมีฝีมือเข้าไปช่วยพัฒนาซาอุดีอาระเบียตามนโยบายหลักของประเทศที่กำลังพัฒนาเศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบียให้ลดการพึ่งพาน้ำมันและให้ความสำคัญกับภาคการท่องเที่ยว
ทั้งนี้ ยังขยายโอกาสให้กับสินค้าเกษตรและอาหารของไทยในตลาดตะวันออกกลาง โดยทางซาอุดีอาระเบียพร้อมสนับสนุนการนำเข้าสินค้าคุณภาพจากไทย เช่น ข้าว อาหารฮาลาล วัตถุดิบด้านอาหาร และผลไม้ นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยถึงมาตรฐานสินค้าเพื่อให้ไทยสามารถผลิตสินค้าได้ตรงกับความต้องการ เนื่องจากซาอุดีอาระเบียประเมินว่าไทยสามารถเป็น “แหล่งความมั่นคงทางอาหาร” ให้แก่ประเทศตนได้ อีกทั้งทางนางศุภจี ยังได้หารือกับผู้บริหารของ LuLu Hypermarket กรุงริยาด ซึ่งดำเนินธุรกิจค้าปลีก รวมถึงห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวตะวันออกกลาง เพื่อขยายตลาดและโอกาสของสินค้าไทยในตลาดค้าปลีก โดยพบว่าสินค้าไทย อาทิ ข้าว ผักผลไม้ อาหารสำเร็จรูป ผักผลไม้กระป๋อง อาหารทะเลกระป๋อง ซอส เครื่องปรุง อาหารสัตว์เลี้ยง และของใช้ในครัวเรือน ได้รับความนิยมจากลูกค้าจากจุดเด่นด้านคุณภาพ
โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากไทยสามารถตีตลาดส่งออกไปซาอุดิอาระเบียได้มากขึ้นจริงนั้น ด้วยความที่ซาอุดีอาระเบียพึ่งพาการนำเข้าอาหารกว่า 70–80% (ซาอุดิอาระเบียมีพื้นที่เกษตรได้น้อยมาก) ประเทศดังกล่าวจึงต้องการคู่ค้าระยะยาว ที่ผลิตอาหารได้มีเสถียรภาพและมีคุณภาพ เพื่อรองรับผู้บริโภคกำลังซื้อสูงที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานของสินค้า การที่ไทยตั้งตัวเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารนั้น จะส่งผลดีต่อภาคเกษตรที่จะได้ราคาแน่นอน โดยเฉพาะสามารถขายผักผลไม้พรีเมียม ที่พัฒนาวงการเกษตรของไทยให้รุ่งเรืองมากขึ้น ส่วนอาหารฮาลาลที่เป็นที่ต้องการ ก็จะทำให้ยอดผลิตอาหารฮาลาลในไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะเกิดการลงทุนตั้งโรงงานเพิ่ม รวมถึงเหล่า SME ด้านอาหารในไทยก็จะโตตามด้วย
ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อเราสามารถเจาะตลาดซาอุดีอาระเบีย ในฐานะคู่ค้าทางเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ ก็จะเป็นการเปิดประตูดันแบรนด์อาหารไทยให้กลายเป็นที่ยอมรับในตะวันออกกลางมากขึ้น เสริมภาพลักษณ์ไทยที่เป็นผู้ผลิตอาหารฮาลาลระดับโลก ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลดีต่อไทยทั้งรายได้ส่งออกเพิ่มแบบถาวร เกษตรกร–ผู้ประกอบการได้ประโยชน์ในวงกว้าง และลามไปยังห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด เช่น ด้านโลจิสติกส์ ที่ได้รายได้จากค่าขนส่งเพิ่มขึ้น, ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ โตตามอุตสาหกรรมอาหาร รวมถึงการจ้างงานในไทยก็เพิ่มขึ้นด้วย อันเป็นการช่วยกระจายรายได้สู่ทุกคนทุกบทบาทในไทยได้เยอะมาก และที่สำคัญการที่ตะวันออกกลางพึ่งอาหารไทยมากขึ้น ประเทศของเราจะได้ “น้ำหนักทางการทูต” เพิ่มขึ้น ซึ่งสร้างอำนาจต่อรองในเวทีโลกได้มากกว่าที่เป็นอยู่
โดยล่าสุดนี้หลังจากการหารือดังกล่าว บริษัท ARASCO ของซาอุดีอาระเบีย ได้ตัดสินใจเพิ่มคำสั่งซื้อมันสำปะหลังอัดเม็ด อีกราว 30,000 ตัน จากเดิมที่มีการส่งออกแล้ว 20,000 ตัน และมีโอกาสที่ปีหน้าจะนำเข้าเพิ่มอีก 100,000 ตัน พร้อมกับการร่วมงาน Thai Food Village ภายใต้เทศกาล Saudi Feast Food Festival 2025 ที่จัดขึ้นช่วยปลายปีนี้ ก็เป็นนิมิตหมายอันดีของการส่งออกไทยที่คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในตลาดตะวันออกกลาง
ข่าวเด่น