บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ ประเมินการประชุม กนง. วันที่ 12 มี.ค. 57 มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ย เพื่อรอติดตามพัฒนาการเศรษฐกิจไทย และสงวนพื้นที่ในการดำเนินนโยบายเพื่อใช้ยามจำเป็น
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบที่ 2 ของปี ในวันที่ 12 มีนาคม 2557 นี้ เป็นอีกรอบการประชุมที่คณะกรรมการฯ เผชิญความยากลำบากในการตัดสินใจ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ยังไม่กลับเข้าสู่กลไกการทำงานปกติ และกำลังเผชิญกับโจทย์หลากหลายด้าน ซึ่งแต่ละโจทย์ก็สะท้อนความต้องการลักษณะการบรรเทาและเยียวยาผลกระทบจากนโยบายการเงิน (อันเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจเดียวที่เหลืออยู่ในขณะนี้) ในขอบเขตและทิศทางที่ต่างกัน ในขณะที่ปัญหาความสมดุลทางเศรษฐกิจดังกล่าว กลับมีผลจำกัดประสิทธิผลเชิงนโยบายการเงินไปพร้อมๆ กัน ดังนั้น การตัดสินใจของคณะกรรมการ กนง. คงจะแสดงการชั่งน้ำหนักปัจจัยแวดล้อมเชิงนโยบายทั้งด้านที่สนับสนุนการลดอัตราดอกเบี้ยและเลือกคงอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างก้ำกึ่งกัน ขณะที่ เหตุผลที่นำเข้าสู่การพิจารณา น่าจะสะท้อนถึงตัวแปรความเสี่ยงเศรษฐกิจที่คณะกรรมการนโยบายการเงินแต่ละท่านให้น้ำหนักในระยะถัดไปด้วย
บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภาวะและแนวโน้มการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่คงทยอยปรากฏชัดเจนขึ้น ระหว่างรอความชัดเจนทางการเมือง ทำให้น้ำหนักของการ “ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เมื่อพิจารณาจากหลายปัจจัย
*ภาวะเศรษฐกิจในเดือนมกราคม 2557 ฉายภาพการชะลอตัวชัดเจนขึ้น โดยแม้ว่า การพลิกกลับมาติดลบของเครื่องชี้เศรษฐกิจสำคัญอย่างเช่น การส่งออก ส่วนหนึ่งจะอธิบายได้จากปัจจัยด้านฤดูกาลและฐานการเปรียบเทียบที่สูงของปีก่อน แต่เครื่องชี้อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน การผลิตภาคอุตสาหกรรม แสดงการถดถอยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ชัดเจนขึ้นทั้งสิ้น รวมถึงการท่องเที่ยวที่หดตัวลงแรงจากเดือนก่อนหน้า อันสะท้อนผลกระทบจากความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมือง ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรของไทยที่ยังคงไม่ฟื้นตัว ก็เป็นอีกปัจจัยกดดันการบริโภคภาคครัวเรือนเช่นกัน
*แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ยังเผชิญความเสี่ยงต่อการชะลอตัวอยู่มาก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 นี้ โดยในช่วงที่เหลือของเดือนมีนาคม ต่อเนื่องถึงเดือนเมษายน 2557 ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญ ซึ่งคงมีผลในการกำหนดระยะเวลาและความสำเร็จของการจัดตั้งรัฐบาลและเปิดประชุมสภาครั้งแรก อันเป็นฟันเฟืองหลักที่จะเร่งการใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐในปีงบประมาณปัจจุบัน รวมถึงพิจารณางบประมาณสำหรับปีงบประมาณ 2558 ด้วย

ทั้งนี้ ในระหว่างที่รอความชัดเจนของเหตุการณ์ทางการเมืองต่างๆ ดังกล่าวนั้น คาดว่ากิจกรรมการใช้จ่ายในประเทศ คงจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง จนมีผลในการดึงตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 1/2557 ที่จะประกาศในเดือนพฤษภาคม ให้มีโอกาสหดตัวลงจากปีก่อน ท่ามกลางสถานการณ์ที่การเมืองอยู่ในช่วงชะงักงัน ส่งผลให้แรงส่งจากมาตรการด้านการคลังเป็นไปอย่างจำกัด และไม่สามารถที่จะทำหน้าที่กระตุ้นโมเมนตัมการขยายตัวของเศรษฐกิจได้ ขณะที่ความคาดหวังจากแรงหนุนของภาคการส่งออกในระยะนี้ อาจเป็นไปอย่างจำกัด ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของเศรษฐกิจในอาเซียนที่ยังคงได้รับแรงกดดันจากปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น อาทิ การปฏิรูปเศรษฐกิจของจีนที่อาจส่งผลให้การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนชะลอความร้อนแรงลง
อย่างไรก็ตาม มีหลายเงื่อนไขที่สนับสนุนการ “คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย”
*คำถามด้านประสิทธิผลของการส่งผ่านนโยบายไปยังภาคเศรษฐกิจจริง โดยท่ามกลางกลไกทางเศรษฐกิจและการเงินที่ยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจไม่ได้รับการตอบรับมากนักจากภาคเศรษฐกิจจริง เนื่องจากปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ภาคธุรกิจยังคงลังเลที่จะมีการขยายการลงทุนและผู้บริโภคยังคงระมัดระวังด้านการใช้จ่าย
*สถานการณ์ของเงินเฟ้อที่เริ่มมีแรงกดดันต่อการเร่งตัวในระยะข้างหน้า ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับตัวอ่อนค่าลงของค่าเงินบาท สถานการณ์ภัยแล้งในหลายพื้นที่ของไทยอันอาจกระทบต่อทิศทางราคาสินค้าเกษตรหลัก รวมทั้งความผันผวนในขาขึ้นของราคาน้ำมันโลกและไทย ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์ประเทศยูเครนที่มีความเสี่ยงที่จะบานปลายออกไป และการปรับโครงสร้างราคาพลังงานของทางการไทย อันล้วนแล้วแต่ส่งผลให้ช่องว่าง/พื้นที่ในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมของ กนง.เผชิญกับข้อจำกัด ทั้งนี้ การเร่งใช้นโยบายการเงินในช่วงที่สภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจไม่เอื้อต่อการส่งผ่านของนโยบายอาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยอาจเผชิญความเสี่ยงที่มากขึ้น จากช่องว่างในการดำเนินนโยบายการเงินที่ลดลง หากพัฒนาการของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
*การดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มเติม มี “ต้นทุน” ต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น ความเสี่ยงภาวะหนี้ภาคครัวเรือน ที่อาจทวีความกังวลมากขึ้นภายใต้กรณีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อันเป็นการสะสมความเปราะบางของพื้นฐานเศรษฐกิจไทยในอนาคต รวมทั้ง ความเสี่ยงต่อสภาพคล่องของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ผ่านแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อการปรับลดการถือครองพันธบัตรไทยโดยนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต้นทุนทางการเงินในระยะข้างหน้าของภาคเอกชนให้ทยอยปรับตัวสูงขึ้น จากส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรไทยกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรของประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีความน่าดึงดูดที่ลดลง รวมถึงลดทอนประสิทธิผลในการส่งผ่านเชิงนโยบายการเงินต่อภาคเศรษฐกิจจริงด้วย
กล่าวโดยสรุป เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยรอบด้านที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญอยู่ ทำให้มีความก่ำกึ่งมากต่อการตัดสินใจในการดำเนินนโยบายการเงินของ กนง. ในรอบนี้ ทั้งนี้คงต้องยอมรับว่าภายใต้สถานการณ์ที่การขยายตัวของเศรษฐกิจกำลังสูญเสียแรงส่ง การใช้นโยบายการเงินพยุงเศรษฐกิจนั้นมีความเหมาะสม อย่างไรก็ดีภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ ของการดำเนินนโยบายการเงินที่ต้องอาศัยประสิทธิภาพในการส่งผ่านนโยบาย รวมถึงประเด็นความเสี่ยงด้านหนี้ครัวเรือน และความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของระบบการเงิน/กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย
ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า โอกาสที่ กนง.อาจเลือก ‘คง’ ดอกเบี้ยไว้ก่อน ยังมีน้ำหนักมากกว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเล็กน้อย โดยการสงวนช่องว่างในการดำเนินนโยบายเพื่อใช้ในยามที่จำเป็น ก็อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ กนง. อาจพิจารณาในการประชุมรอบที่ 2 ของปีนี้ในวันที่ 12 มี.ค. 57 ก็เป็นได้
ขณะที่ กนง.คงต้องติดตามเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองต่างๆ ในช่วง 1-2 เดือนนี้ เพื่อประเมินโอกาสการจัดตั้งรัฐบาลและเปิดประชุมสภาครั้งแรก รวมถึงข้อมูลด้านการส่งออกซึ่งเป็นความคาดหวังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ระหว่างรอความชัดเจนทางการเมือง
ข่าวเด่น