น.ส.ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด บอกว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยหรือGDP ในปีนี้อยู่ที่ 3.3% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนโครงการต่างๆ ของภาครัฐ โดยในครึ่งปีแรกอาจจะยังมีการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐยังไม่มากนัก แต่แนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป เชื่อว่าเม็ดเงินเบิกจ่ายโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรวมถึงงบกลางปี 60 จะทยอยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนภาคการส่งออกในปีนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ปรับประมาณการการเติบโตเพิ่มเป็นเติบโต 2% จากเดิมที่คาดว่าโต 0.8% เพราะแนวโน้มของมูลค่าการส่งออกที่มีมูลค่าสูงขึ้น และความต้องการสินค้าในตลาดโลกมีสูงขึ้น ทำให้ปริมาณการส่งออกของไทยเพิ่มขึ้นตาม โดยเฉพาะสินค้าศักยภาพบางรายการที่มีปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น อาหาร และชิ้นส่วนรถยนต์
ด้านภาคการท่องเที่ยวคาดว่า จะมีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาส2 จากสัญญาณการกลับมานักท่องเที่ยวจีนที่จะเริ่มทยอยกลับมาท่องเที่ยวไทย รวมถึงนักท่องเที่ยวของรัสเซียที่เริ่มกลับมาท่องเที่ยวเช่นเดียวกัน ทำให้แนวโน้มของจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะสูงขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรก
ขณะที่ ดร.เชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย บอกถึงทิศทางค่าเงินบาทว่า เงินบาทสิ้นปีนี้ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าได้ตามคาดการณ์ที่ 35.70 บาทต่อดอลลาร์ จากปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 34.40-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะในช่วงนี้มีกระแสเงินทุนไหลเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น หลังนักลงทุนมองว่าประเทศไทยมีความปลอดภัยและมีพื้นฐานเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง รวมทั้งนักลงทุนผิดหวังหลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯไม่สามารถดำเนินนโยบายได้ตามที่มีการหาเสียงไว้
ส่วนภาพรวมของสินเชื่อในระบบธนาคารพาซิชย์ปีนี้ยังคาดว่า เติบโต 4% แม้ว่าไนช่วงไตรมาส 1/60 จะยังเห็นภาพการชะลอตัวของสินเชื่ออยู่เนื่องจากการลงทุนโครงการต่างๆของภาครัฐยังสม่ออกมามาก ทำให้ภาคเอกชนยังชะลอการลงทุนในช่วงนี้ แต่หากในช่วงครึ่งปีหลังการเบิกจ่ายงบประมาณการลงทุนของรัฐมีออกมามาก ก็จะส่งผลให้ภาคเอกชนเริ่มทยอยลงทุนตาม ซึ่งสินเชื่อภาคธุรกิจจะเป็นตัวหลักในการสนับสนุนการขยายตัวเองสินเชื่อในระบบปีนี้ โดยจะเห็นการขอสินเชื่อประเภท Working Cap เพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
นอกจากนี้ ในปีนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังมองว่า ผู้ประกอบการต่างๆจะหันมาใช้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์มากขึ้น หลังจากที่ต้นทุนการออกพันธบัตรและหุ้นกู้เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ตามอัตราดอกเบี้ยที่เข้าสู่ช่วงขึ้นอย่างชัดเจน หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เริ่มทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ผู้ประกอบการจะต้องหาแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนที่ไม่สูงมาทดแทน ซึ่งการขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์คาดว่าจะได้รับความนิยมมากขึ้น จากปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการต่างใช้การออกหุ้นกู้กันอย่างมาก
ข่าวเด่น