ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปีที่บริษัท ยัสปาล จำกัด ก้าวเข้าสู่ธุรกิจสินค้าแฟชั่น โดยมีแบรนด์ “ยัสปาล” (Jaspal) เป็นสินค้าแบรนด์แรกที่พัฒนาเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ปัจจุบัน ยัสปาล มีแบรนด์ธุรกิจสินค้าแฟชั่นเข้ามาทำตลาดทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศมากกว่า 10 แบรนด์ ประกอบด้วย 1. Royal Ivy Regatta 2. Jaspal 3. LYN 4. Cheap Monday 5. Misty MYNX 6. CC double O 7. LYN Around 8. Footwork 9. Jelly Bunny 10. Shoe Bar 11. Footwork Noir 12. Quinn 13. V Eyewear 14. Jelly Dreams 15. Fred Perry และ 16. CPS Chaps ในจำนวนแบรนด์ดังกล่าวเป็นแบรนด์ที่ซื้อแฟรนไชส์มาจากต่างประเทศจำนวน 3 แบรนด์

จากความสำเร็จที่ได้รับดังกล่าว ส่งผลให้ ยัสปาล ออกมาเปิดเกมรุกธุรกิจแฟชั่นมากขึ้น ด้วยการออกมากางแผนธุรกิจระยะยาว 3-5 ปี ใช้งบลงทุนประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท ในการขยายสาขาธุรกิจแฟชั่นในเครือทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ครบ 450-500 สาขา แบ่งเป็นสาขาในประเทศ 400 สาขา และสาขาในต่างประเทศจำนวน 100-150 สาขา ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ยัสปาล คาดการณ์ว่าจะมีรายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท

นายยศเทพ สิงห์สัจจเทศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท ยัสปาล จำกัด กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจในอีก 3-5 ปีนับจากนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจในตลาดต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากบริษัทต้องการสร้างรายได้ที่มาจากตลาดต่างประเทศให้ได้ไม่ต่ำกว่า 3,000-5,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของรายได้รวมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 15,000 ล้านบาท โดยตลาดหลักที่คาดว่าจะสร้างรายได้ให้ คือ อาเซียน ซึ่งภายในปีดังกล่าวบริษัทคาดว่าจะนำธุรกิจเข้าไปเปิดตลาดในอาเซียนได้ครบทุกประเทศ
ปัจจุบัน ยัสปาล ได้นำแบรนด์สินค้าแฟชั่นเข้าไปทำตลาดในอาเซียนแล้วจำนวน 3 ประเทศ ประกอบด้วย มาเลเซีย เข้าไปทำตลาดผ่านแบรนด์ยัสปาล (Jaspal) ปัจจุบันมีอยู่ 13 สาขา และสิงคโปร์ ปัจจุบันมีร้านยัสปาลอยู่ 1 สาขา ส่วนอีกแบรนด์ที่เริ่มนำเข้าไปทำตลาดแล้ว คือ ลิน (LYN) ปัจจุบันมีอยู่ 7 สาขา แบ่งเป็นเวียดนาม 5 สาขา และกัมพูชา 2 สาขา ซึ่งหลังจากนำแบรนด์ลินเข้าไปเปิดให้บริการพบว่าลูกค้าให้ผลการตอบรับที่ดี ส่งผลให้ปี 2562-2563 จะนำแบรนด์ลินเข้าไปขยายในประเทศเวียดนามเพิ่มอีกอีก 8-10 สาขา และกัมพูชาอีก 1-2 สาขา
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะนำแบรนด์ลิน เข้าไปเปิดให้บริการในประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย อินเดีย ตะวันออกกลาง และกลุ่มประเทศในยุโรป เพื่อให้อีก 3-5 ปีนับจากนี้แบรนด์ลิน มีสาขาในต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 25-30 สาขา ส่วนสาขาในประเทศไทยมีแผนที่จะขยายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกันจากปัจจุบันมีอยู่ 43 สาขา

นายยศเทพ กล่าวว่า จากจุดเริ่มต้นธุรกิจของแบรนด์ลิน ในปี 2544 ที่มุ่งเน้นพัฒนาสินค้าแฟชั่นเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่หลงใหลในแฟชั่น บริษัทจึงได้มีการพัฒนาแบรนด์ลิน ขึ้นมา โดยมีสินค้าประเภทกระเป๋า รองเท้า แว่นตากันแดด และเครื่องประดับอื่น ๆ เป็นสินค้าหลักในการทำตลาด ภายใต้นิยามของความต้องการให้แฟชั่นและความหรูหราต้องเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ ทั้งราคาและดีไซน์
จากกลยุทธ์การทำตลาดดังกล่าว ทำให้แบรนด์ลิน มีความเข้มแข็งในธุรกิจแฟชั่น และก้าวสู่การเป็นแบรนด์แฟชั่นเครื่องประดับที่ได้รับการยอมรับและนิยมมากขึ้นในต่างประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายหลังจากบริษัทมีการปรับคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ลินให้มีความโมเดิร์น ด้วยการชูความพิเศษในด้านของการตกแต่งร้านในรูปแบบใหม่ และออกแบบสินค้าโดยดีไซเนอร์ชื่อดังชาวอิตาลีอย่าง Mister Duccio Grassi
นายยศเทพ กล่าวต่อว่า ในปีที่ 17 ของแบรนด์ลินถือว่าลินมาไกลมาก ที่ผ่านมาเราเติบโตจากแบรนด์แฟชั่นแอคเซสซอรี่แถวหน้าของประเทศไทย สู่การเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับและความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ด้วยความที่เป็นแฟชั่นแบรนด์ที่สามารถเข้าถึงได้ ตอบโจทย์กลุ่มแฟชั่นนิสต้าและคนที่ติดตามเทรนด์อยู่เสมอ
ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ตลาดสินค้ากลุ่มแฟชั่นไลฟ์สไตล์ เติบโตอย่างรวดเร็วและสวนกระแสเศรษฐกิจ แบรนด์ไทยหลายแบรนด์ล้วนมีเป้าหมายต่อยอดสู่แบรนด์ระดับโลกทั้งสิ้น และหนึ่งในแบรนด์ fast-fashion อย่างลิน ก็ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และจากฐานลูกค้าที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ยัสปาล ต้องเดินหน้าพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ยิ่งความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็ว ส่งผลให้ ยัสปาล ต้องทำงานหนักมากขึ้น

แม้ว่าการทำธุรกิจจะมีความท้าทายมากขึ้น แต่ ยัสปาล ก็ยังคงเดินหน้าต่อด้วยการพัฒนาสินค้ารูปแบบใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าผู้หญิงยุคใหม่ที่สนุกกับการแต่งตัวและต้องการให้บุคลิกของตัวเองดูดีมีความหลากหลาย
นายยศเทพ กล่าวอีกว่า สมัยนี้ เราจะเห็นว่าลุค elegant หรือ sexy ก็ยังหยิบสนีคเกอร์มาใส่ได้ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ หลายๆ แบรนด์จะต้องตามความคิดและเข้าใจลูกค้าของตัวเองที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ที่ผ่านมายอดขายในปี 2559-2561 มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 6% ถือเป็นอัตราการเติบโตที่ใกล้เคียงกับภาพรวมของธุรกิจแฟชั่นในประเทศไทย

อย่างไรก็ดี หลังจาก ยัสปาล ออกมาเดินหน้าขยายธุรกิจสินค้าแฟชั่นในเครืออย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้ ยัสปาล ออกมาคาดการณ์ว่าในอีก 3-5 ปีนับจากนี้การทำธุรกิจแฟชั่นตลาดในประเทศไทยน่าจะมีอัตราการเติบโตได้อีกไม่ต่ำกว่า 50% ขณะที่ตลาดในต่างประเทศคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตได้อีกไม่ต่ำกว่า 100% เนื่องจากปัจจุบันฐานรายได้จากต่างประเทศของ ยัสปาล ยังมีสัดส่วนอยู่น้อยมาก
นายยศเทพ กล่าวปิดท้ายว่า อะไรที่อยู่บนแคทวอล์ค คนอาจมองว่าเป็นสิ่งที่ไกลตัว แต่ถ้าเรามีการนำมาถ่ายทอดใหม่ให้เข้าถึงได้ จับต้องได้ ก็จะทำให้เรามีลูกค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งจากแนวคิดดังกล่าวบริษัทจึงได้ส่งทีมดีไซเนอร์บินไปดูงานในต่างประเทศบ่อยๆ เพื่อศึกษาเทรนด์ใหม่ๆ นำมาพัฒนาแบรนด์ของเรา นอกจากนี้ เรื่องที่เราไม่เคยละเลยก็คือมาตรฐานการผลิตและวัสดุการตัดเย็บให้ได้มาตรฐานสากลในทุกรายละเอียด รวมถึงการใช้กลยุทธ์อื่น ๆ รวมถึงการทำการตลาดและดีไซน์สินค้าให้มีความ customised มากขึ้นและตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด จนถึงการสื่อสารแบบเรียลไทม์โดยใช้ดิจิตอลแพลตฟอร์มเป็นเครื่องมือ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการได้เป็นผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจแฟชั่นรีเทล เพื่อครองตลาดเอเชียให้สำเร็จ
ข่าวเด่น