จากผลประกอบการของธุรกิจทีวีดิจิทัล ซึ่งถือเป็นสื่อหลักในการสร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมโฆษณาของไทยที่ยังคงมีผลกำไรในการดำเนินธุรกิจติดลบกันเป็นเสียส่วนใหญ่ ส่งผลให้ภาพรวมอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมายังคงมีการขยายตัวติดลบอยู่ที่ประมาณ 2% หรือมีมูลค่าเม็ดเงินโฆษณาอยู่ที่ประมาณ 50,702 ล้านบาท
ในมูลค่าดังกล่าว บริษัท นีลเส็น(ประเทศไทย) จำกัด มีการแบ่งเม็ดเงินก้อนดังกล่าวมาจากสื่อทีวีดิจิทัลอยู่ที่ประมาณ 33,079 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2561 ที่ประมาณ 0.58 % ขณะที่สื่อเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม มีการขยายตัวลดลงสูงถึง 13.31% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 1,075 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีสื่ออื่นๆที่ขยายตัวอยู่ในแดนลบเช่นเดียวกับสื่อทีวีในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา คือ สื่อวิทยุมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 2,178 ล้านบาท ลดลง 3.63% สื่อในโรงหนังมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 3,681 ล้านบาท ลดลง 4.04% สื่อหนังสือพิมพ์ มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 2,388 ล้านบาท ลดลง 17.74% และสื่อนิตยสาร มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 515 ล้านบาท ขยายตัวลดลง 21.13%
ส่วนสื่อที่มีการขยายตัวอยู่ในแดนบวกในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา คือ สื่อนอกอาคารมีการใช้งบโฆษณาอยู่ที่ประมาณ 3,373 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.32% สื่อเคลื่อนที่มีการใช้งบโฆษณาอยู่ที่ประมาณ 3,147 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.07% ส่วนสื่อในอาคารมีการใช้งบผ่านสื่อโฆษณาอยู่ที่ประมาณ 514 ล้านบาท ทรงตัวอยู่ที่ระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา และสื่อดิจิทัล มีเม็ดเงินโฆษณาอยู่ราว 302 ล้านบาท สื่อกลุ่มนี้ยังไม่มีการเคลมว่าขยายตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลง เนื่องจากมีการขยายฐานการเก็บข้อมูลใหม่
ทั้งนี้หากมองเฉพาะเม็ดเงินที่ไหลเข้าอุตสาหกรรมโฆษณาเฉพาะเดือนมิ.ย. จะพบว่า ขยายตัวติดลบสูงกว่าภาพรวมครึ่งปีแรก เนื่องจากเจ้าของสินค้าส่วนใหญ่ยังคงระมัดระวังในด้านของการจับจ่ายใช้สอย ประกอบกับเดือนมิ.ย.เป็นเดือนที่ย่างก้าวเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซันของการทำธุรกิจ บรรดาผู้ประกอบการสินค้าต่างๆ เลยพากันใช้งบเท่าที่จำเป็น ซึ่งปัจจัยที่เกิดขึ้นดังกล่าว นำมาสู่เม็ดเงินโฆษณาในช่วงเดือนมิ.ย.ที่ติดลบสูงถึง 5.38% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 9,044 ล้านบาท
สื่อที่มีการขยายตัวอยู่ในแดนลบในช่วงเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ประกอบด้วย สื่อทีวี มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 5,929 ล้านบาท ติดลบ 6.72% สื่อเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม มีมูลค่าประมาณ 174 ล้านบาท ติดลบ 20.91% สื่อหนังสือพิมพ์ มูลค่า 398 ล้านบาท ติดลบ 22.72% สื่อนิตยสาร มูลค่า 81 ล้านบาท ติดลบ 22.12% และ สื่อโรงหนัง มูลค่า 626 ล้านบาท ติดลบ 5.44% ส่วนสื่อที่มีการเติบโตในช่วงเดือนมิ.ย. 2562 ที่ผ่านมา คือ สื่อวิทยุ โต 1.95% สื่อนอกอาคาร โต 6.12% สื่อเคลื่อนที่ โต 9.66% สื่ออินสโตร์ โต 15.48% และสื่อดิจิทัล ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลเปรียบเทียบ
จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่าสื่อที่ดึงให้อุตสาหกรรมโฆษณาในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาขยายตัวติดลบ คือ สื่อทีวี เนื่องจากสัดส่วนของสื่อทีวีคิดเป็น 58.7% ของภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณาทั้งประเทศ แม้ว่าปี 2562 นี้จะปรับสัดส่วนลดลงมาจากปี 2561 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 59.1% แต่ “ทีวี” ก็ยังคงเป็นสื่อหลักในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโฆษณาของไทย
และจากการที่ผลประกอบการทีวีดิจิทัลของไทยส่วนใหญ่ยังขาดทุนจากการดำเนินธุรกิจ เพราะภาพของความเป็นจริงในการทำธุรกิจทีวีไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวัง เนื่องจากจำนวนช่องมีมากเกินไป ผู้ชมส่วนใหญ่ยังคงชินที่จะเปิดทีวีดูรายการในช่องเดิม โดยเฉพาะผู้ชมในตลาดต่างจังหวัด รวมไปถึงแผนการประชาสัมพันธ์และทำการตลาดของสำนักงานกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)ไม่เป็นไปตามแผน นางพันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย หรือ 'เจ้ติ๋ม' ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยทีวี จำกัด จึงของคืนช่อง ไทยทีวี และ ช่องโลก้า
และในวันที่ 16 ส.ค. - 1 ต.ค.นี้ จะมีขอคืน 7 ช่องคือ spring News 19 ,Voice TV 21 ,SPRING 26 , MCOT Family 14 , BRIGHT TV 20 ,3 SD (ช่อง 28) และ 3 Family (ช่อง 13) ก็จะทำการคืนช่องทยอยจอดำตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค. - 1 ต.ค.นี้ หลังขาดทุนต่อเนื่องมา 5 ปี
เริ่มจากกลุ่มบีอีซี เวิลด์ เจ้าของสัมปทานทีวีดิจิทัล 3 ช่อง คือ ช่อง 3 HD , ช่อง 3 SD และช่อง 3 Family ที่ผลประกอบการยังอยู่ในภาวะขาดทุนต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ล่าสุดปี 2561 แสดงรายได้ที่ 5,559 ล้านบาท ขาดทุน 969 ล้านบาท จากปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้ บริษัท บีอีซี -มัลติมีเดีย จำกัด ผู้ถือใบอนุญาตทีวีดิจิทัล 3 ช่อง คือ ช่อง 3 HD, ช่อง 3 SD และช่อง 3 Family ตัดสินใจขอคืนใบอนุญาตทีวีดิจิทัล 2 ช่อง เพื่อกลับมาสร้างความแข็งแกร่งให้ช่อง 3 HD กลับมาทำกำไรอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน อสมท เจ้าของใบอนุญาต ทีวีดิจิทัล 2 ช่อง คือ ช่อง MCOT 30 และช่อง 14 MCOT Family ก็ประสบปัญหา “ขาดทุน” มาอย่างต่อเนื่องเช่นกันตั้งแต่ปี 2559 โดยในปี 2560 มีรายได้ อยู่ที่ 2,728 ล้านบาท ขาดทุน 2,541 ล้านบาท ปี 2561 มีรายได้อยู่ที่ 2,102 ล้านบาท ขาดทุน 373 ล้านบาท ทำให้ อสมท ต้องขอคืนใบอนุญาต ช่อง 14 MCOT Family
ด้านสปริง 26 หรือเดิมคือ NOW 26 ก็ประสบปัญหาขาดทุนตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจทีวีดิจิทัลเช่นกันและตัดสินใจคืนช่องในท้ายที่สุด โดยปี 2561 รายได้ 224 ล้านบาท ขาดทุน 178 ล้านบาท เช่นเดียวกับช่อง วอยซ์ทีวี ที่ติดลบมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากปี 2561 มีรายได้ 121 ล้านบาท ขาดทุน 352 ล้านบาท ไบรท์ทีวี ปี 2561 รายได้ 391 ล้านบาท ขาดทุน 15 ล้านบาท และ สปริงนิวส์ 19 ปี 2561 รายได้ 239 ล้านบาท ขาดทุน 16 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีช่อง พีพีทีวี ขาดทุน 1,837 ล้านบาท ช่องไทยรัฐทีวี ขาดทุน 554 ล้านบาท ช่องอมรินทร์ทีวี ขาดทุน 32 ล้านบาท ช่องวัน ขาดทุน 9.3 ล้านบาท ช่องจีเอ็มเอ็ม25 ขาดทุน 413 ล้านบาท ช่องทรูโฟร์ยู ขาดทุน 317 ล้านบาท ช่องทีเอ็นเอ็น ขาดทุน 43 ล้านบาท ช่องเนชั่นทีวี ขาดทุน 727 ล้านบาท และช่องนิวส์ทีวีขาดทุนที่ 40 ล้านบาท
ส่วนช่องที่พลิกตัวเองขึ้นมาเป็นกำไรแล้ว คือ ช่อง 7 มีกำไร 1,633 ล้านบาท ช่องเวิร์คพอยท์ กำไร 345 ล้านบาท โมโน 29 กำไร 32 ล้านบาท และช่อง 8 กำไร 158 ล้านบาท จากปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้หลายคนลุ้นว่าไตรมาส 4 ของปี 2562 นี้อุตสาหกรรมโฆษณาจะกลับมาฟื้นอยู่ในแดนบวก เนื่องจากมีหลายปัจจัยบวกรอการขับเคลื่อน ส่วนจะโตได้เท่าไหร่นั้นคงต้องขึ้นอยู่กับแผนการทำตลาด
ข่าวเด่น