การตลาด
สกู๊ป ''บิ๊กซี'' เมินปัจจัยลบ ประกาศเทงบ 7,000 ล้าน ลุยขยายธุรกิจไทย - ต่างประเทศ


แม้ว่าปีนี้ประเทศไทยจะประสบกับปัจจัยลบในหลายๆเรื่อง แต่บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนห้างบิ๊กซีซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง  เพราะยังมั่นใจว่าภาพรวมศักยภาพเศรษฐกิจของไทยยังมีพื้นฐานที่ดี โดยในปีบัญชี 2564 นี้ “บิ๊กซี” มีแผนที่จะใช้งบลงทุนในการขยายธุรกิจสูงถึง 7,000 ล้านบาท  สำหรับการเปิดสาขาใหม่และปรับปรุงสาขาเก่า

นอกจากนี้  ยังจะเดินหน้าปรับปรุงบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง  เพื่อให้บริการของ “บิ๊กซี” สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด  โดยเฉพาะในช่วงเวลาแบบนี้ที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงระมัดระวังในเรื่องของการจับจ่ายใช้สอย ภายหลังได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา   
 
 
นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ในเครือบีเจซี กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา  บริษัทคาดว่าจะส่งผลกระทบระยะยาวต่อภาพรวมเศรษฐกิจของไทยไปต่อไปอีกไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีนับจากนี้  แม้ว่าภาครัฐจะออกมากระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในรูปแบบต่างๆ  
 
อย่าไรก็ดี  ปัจจัยลบดังกล่าวที่เกิดขึ้นเป็นเพียง 1 ในผลกระทบที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจของไทยเท่านั้น  เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเจอกับปัจจัยลบรอบด้านไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายในอย่างปัญหาการเมือง  และกำลังซื้อ  หรือปัจจัยภายนอกอย่างความขัดแย้งทางด้านการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกากับจีน  ปัจจัยลบที่เกิดขึ้นดังกล่าวล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยทั้งสิ้น 
 
นายอัศวิน  กล่าวต่อว่า  แม้ว่าประเทศไทยจะยังต้องเจอปัจจัยลบรอบด้าน  แต่บริษัทก็จะยังเดินหน้าขยายการลงทุนธุรกิจของ “บิ๊กซี” อย่างต่อเนื่องทั้งการขยายธุรกิจในประเทศและต่างประเทศภายใต้งบลงทุนประมาณ 7,000 ล้านบาท  โดยในส่วนของตลาดต่างประเทศ  บริษัทมีแผนที่จะเปิดธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ตที่ประเทศลาวเพิ่มขึ้น  จากปัจจุบันได้เริ่มเข้าไปขยายธุรกิจคอนวีเนียนสโตร์ภายใต้ชื่อ “มินิบิ๊กซี”  แล้ว 45 สาขา ส่วนธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ตที่ประเทศเวียดนามนั้น  “บิ๊กซี”  ยังคงใช้ชื่อ “เมก้า มาร์เก็ต”  ในการดำเนินธุรกิจ  
 
 
สำหรับการขยายธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยนั้น  “บิ๊กซี”  ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจในเครืออย่างต่อเนื่อง  ขณะเดียวกันก็มีแผนที่จะขยายแพลตฟอร์มและโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มเติม  เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และการแข่งขันที่นับวันจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น  ซึ่งในส่วนของกลยุทธ์ดังกล่าว “บิ๊กซี” มีแผนที่จะให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะปัจจุบันธุรกิจค้าปลีกและสินค้าอุปโภคบริโภคมีการแข่งขันอย่างรุนแรง ทั้งด้านความหลากหลายของสินค้าและบริการ ยังรวมไปถึงแคมเปญและโปรโมชั่นเน้นการผลิตสินค้าในรูปแบบใหม่ๆ 
 
ด้วยเหตุนี้  “บิ๊กซี” จึงต้องเร่งหาช่องทางในการทำการตลาดให้มีความหลากหลายมากขึ้น  เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นและรักษาฐานลูกค้าเดิม โดยเฉพาะการขยายสาขาในตลาดต่างจังหวัด เนื่องจากปัจจุบันเมืองมีการขยายตัว  ทำให้พฤติกรรมของคนต่างจังหวัดเริ่มมีความคล้ายคลึงกับคนกรุงเทพฯ มากขึ้น  
 
ล่าสุด “บิ๊กซี” ได้มีการทดลองธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบค้าส่ง ด้วยการเปิด “บิ๊กซี ดีโป้” เจาะตลาดต่างจังหวัด โดยขณะนี้ได้ทดลองเปิดให้บริการไปแล้วจำนวน  5 สาขา ซึ่งแต่ละสาขาจะอยู่ติดกับ “มินิบิ๊กซี” ทั้งหมด  ประกอบด้วย  สาขาประทาย, สาขากุฉินารายณ์, สาขาตาคลี , สาขาประโคนชัย และสาขาปักธงชัย โดยหลังจากเปิดให้บริการลูกค้าให้ผลการตอบรับเป็นที่น่าพอใจ
 
นายอัศวิน กล่าวอีกว่า  ก่อนหน้าที่บริษัทจะนำโมเดล “บิ๊กซี ดีโป้”  มาเปิดให้บริการ  บริษัทก็ได้มีการทดลองมีโมเดลใหม่ที่เรียกว่า “บิ๊กซีฟู้ดเพลซ” เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายกรุงเทพฯและชานเมืองมาแล้วด้วยกัน  6 สาขา ประกอบด้วย  สาขาสามย่านมิตรทาวน์, สาขาสุขาภิบาล , สาขาเกตเวย์ บางซื่อ, สาขาท่าอิฐ, สาขา หนามแดง  และสาขาเคหะร่มเกล้า
 
 
ปัจจุบัน “บิ๊กซี”  มีจำนวนสาขาที่เปิดให้บริการทุกโมเดลรวมประมาณ  1,371  ประกอบด้วย  มินิบิ๊กซี 1,157 สาขา (อัพเดต ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2563)  จำนวน 1,157 สาขา, บิ๊กซีฟู้ดเพลส 6 สาขา (สามย่านมิตรทาวน์, สุขาภิบาล , เกตเวย์ บางซื่อ, ท่าอิฐ, หนามแดง และเคหะร่มเกล้า) ,บิ๊กซี ไฮเปอร์มาร์เก็ต (อัพเดต ณ สิ้นเดือนก.ย. 2563) จำนวน 150 สาขา สาขาล่าสุดคือสาขามหาชัย 2 เปิดให้บริการไปเมื่อวันที่ 26 ก.ย.  2563 ,บิ๊กซี มาร์เก็ต จำนวน 52 สาขา และบิ๊กซี ดีโป้ จำนวน 5 สาขา (ประทาย กุฉินารายณ์ ตาคลี ประโคนชัย และปักธงชัย)
 
ด้านนายปฐพงศ์ เอี่ยมสุโร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง ทำให้เทรนด์พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยลูกค้าเกิดความคาดหวังใหม่ๆ จากแบรนด์สินค้า 
 
ขณะเดียวกัน ก็ต้องคำนึงถึงราคา และคุณภาพของสินค้าที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจเลือกซื้อ โดยล่าสุด “บิ๊กซี” ได้มีการจัดแคมเปญ “ถูกจริง ประหยัดจริง ที่บิ๊กซี”  ลดราคาสินค้าที่จำเป็นทุกหมวดหมู่ ทุกวัน ทุกแผนก รวมมากกว่า 5,000 รายการ ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย.  2563 – 3 ม.ค. 2564 โดยเลือกสินค้าจำเป็นในชีวิตจากข้อมูลที่วิเคราะห์มาจากบัตรบิ๊กการ์ดที่มีฐานผู้ถือบัตรมากว่า 10 ล้านราย และแอคทีฟมากก่า 80% 
 
นอกจากนี้  ยังมีการมอบส่วนลดให้กับผู้บริโภคอีก 3 ต่อ  สำหรับสมาชิกบิ๊กการ์ด  ต่อที่ 1 รับส่วนลดทันที เมื่อซื้อสินค้าถึงยอดซื้อที่กำหนด ต่อที่ 2 รับคะแนนบิ๊กการด์ 2 เท่า เมื่อซื้อสินค้าที่ร่วมรายการครบ 400 บาท ต่อที่ 3 ใช้คะแนนบิ๊กการด์แลกรับส่วนลดเริ่มที่ 12.5% นอกจากนี้บิ๊กซียังได้เตรียมโปรโมชั่น และกิจกรรมพิเศษ สลับสับเปลี่ยนกันมาให้ลูกค้าได้เลือกช้อปกัน ทุกเดือนตลอดปี 2563 โดยในวันที่ 1 – 26 ต.ค. 2563 นี้ “บิ๊กซี” จะจัดแคมเปญ แลกซื้อสุดคุ้ม เพียงซื้อสินค้าในบิ๊กซี 100 บาทรับสิทธิแลกซื้อ สินค้าจากหลากหลายกลุ่มสินค้าในราคาพิเศษสุดๆ รวมทั้งหมดกว่า 70 รายการ ซึ่งหลังจากทำกิจกรรมส่งเสริมการขายดังกล่าว “บิ๊กซี” มั่นใจว่าจะเพิ่มยอดขายได้เป็นที่น่าใจ
 

LastUpdate 03/10/2563 12:05:19 โดย : Admin
22-06-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ June 22, 2025, 4:23 am