แม้ว่าภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยจะปรับตัวดีขึ้นกว่าในหลายๆประเทศทั่วโลก แต่ในด้านของภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ถือว่ายังคงอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากผู้บริโภคยังคงระวังในเรื่องของการใช้จ่าย และหันมาใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะยังไม่มั่นใจว่าสถานการณ์เศรษฐกิจ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมไปถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในอนาคตจะเป็นอย่างไร
ผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้น ยังคงส่งผลกระทบต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมโฆษณาอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากตัวเลขของอุตสาหกรรมโฆษณาในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมายังคงทรงตัวต่อเนื่องจากช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ด้วยการมีมูลค่าการขยายตัวติดลบอยู่ที่ประมาณ 16% ส่วนภาพรวมเดือน ก.ย.2563 มีการขยายตัวติดลบลดลงเหลืออยู่ที่ 10% จากเดือน ส.ค. 2563 ที่มีการขยายตัวติดลบอยู่ที่ประมาณ 13%
เอจีบี นีลเส็น ประเทศไทย ระบุว่า มูลค่าเม็ดเงินโฆษณาในช่วงเดือนม.ค. - ก.ย. 2563 มีมูลค่ารวมอยู่ที่ประมาณ 76,591 ล้านบาท ขยายตัวลดลงหรือติดลบอยู่ที่ประมาณ 16% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 ที่มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 90,695 ล้านบาท โดยสื่อยังสามารถขยายตัวเติบโตเป็นบวกในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ยังคงมีเพียงสื่อเดียว คือ อินเตอร์เน็ต เติบโตที่ 2% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 14,554 ล้านบาท
ส่วนสื่อที่ขยายตัวติดลบมากที่สุดในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา คือ สื่อโรงหนัง ติดลบที่ 55% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 2,786 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 6,131 ล้านบาท ตามด้วยสื่อในอาคาร ติดลบที่ 43% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 456 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 794 ล้านบาท สื่อสิ่งพิมพ์ติดลบที่ 36% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 2,768 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 4,310 ล้านบาท สื่อวิทยุ ติดลบที่ 23% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 2,654 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 3,430 ล้านบาท สื่อนอกอาคารและสื่อเคลื่อนที่ติดลบที่ 19% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 7,962 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 9,886 ล้านบาท และสื่อทีวีติดลบที่ 12% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ 45.412 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 51,857 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมสื่อโฆษณาในช่วงเดือนก.ย.2563 ที่ผ่านมามีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 9,249 ล้านบาท ขยายตัวติดลบอยู่ที่ 10% ลดลงจากปี 2562 ที่มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 10,330 ล้านบาท โดยสื่อที่มีการขยายตัวติดลบมากที่สุด คือ สื่อในอาคาร ติดลบที่ 38% หรือมีมูลอยู่ที่ประมาณ 57 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 93 ล้านบาท ตามด้วยสื่อวิทยุติดลบอยู่ที่ 29% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ 299 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 419 ล้านบาท
ขณะที่ สื่อสิ่งพิมพ์ ติดลบที่ 23% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ 340 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 439 ล้านบาท สื่อนอกอาคารและสื่อเคลื่อนที่ติดลบที่ 23% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ 901 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 1,166 ล้านบาท สื่อโรงหนัง ขยายตัวติดลบที่ 17% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 537 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 645 ล้านบาท สื่อทีวี ติดลบที่ 7% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ 5,429 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวันของปีก่อนที่มีมูลค่า 5,812 ล้านบาท และสื่ออินเตอร์เน็ต ติดลบที่ 4% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ 1,685 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 1,756 ล้านบาท

นอกจากนี้ เอจีบี นีลเส็น ประเทศไทย ยังระบุอีกว่า อุตสาหกรรมหลักที่ใช้เม็ดเงินโฆษณาลดลงจากปี 2562 ที่ผ่านมามีอยุ่ด้วยกัน 3 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย อันดับ 1 กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (Food&Beverage) มีการใช้เม็ดเงินคิดเป็นมูลค่า 12,104 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ -10% อันดับ 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลและเครื่องสำอาง (Personal Care & Cosmetic) มีการใช้เม็ดเงินคิดเป็นมูลค่า 10,741 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ -3% อันดับที่ 3 คือ กลุ่ม Media & Marketing มีการใช้เม็ดเงินคิดเป็นมูลค่า 9,054 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ประมาณ -7%
ส่วนอันดับที่ 4 เป็นของ กลุ่มยานยนต์ (Automotive) มีการใช้เม็ดเงินคิดเป็นมูลค่า 4,591 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ -34% กลุ่มยา (Pharmaceuticals) มีการใช้เม็ดเงินคิดเป็นมูลค่า4,086 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกลุ่มสินค้าครัวเรือนในบ้าน (Household products) มีการใช้เม็ดเงินคิดเป็นมูลค่า 3,209 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ หากเจาะลึกไปที่หน่วยงานที่มีการใช้เม็ดเงินโฆษณาสูงสุดในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ใน 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.บริษัท ยูนิลีเวอร์ (ไทย) โฮลดิ้ง จำกัด มีการใช้เม็ดเงินโฆษณาคิดเป็นมูลค่า 3,165 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ประมาณ 35% โดยแคมเปญที่ใช้เม็ดเงินโฆษณาสูงสุดในช่วงเดือนก.ย. ที่ผ่านมา คือ ใหม่ วาสลีน ซุปเปอร์ วิตามิน ทางสื่อทีวีมูลค่า 38 ล้านบาท รองลงมาคือใหม่ โดฟ อินเทนซ์ รีแพร์ทางสื่อทีวีมูลค่า 31 ล้านบาท
อันดับ 2 เป็นของบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด มีการใช้เม็ดเงินโฆษณาคิดเป็นมูลค่า 1,966 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ประมาณ 38% โดยแคมเปญที่ใช้เม็ดเงินโฆษณาสูงสุดในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา คือ ใหม่ นมตราหมี ทริปเปิ้ล โปร ใช้เงินทางสื่อทีวีคิดเป็นมูลค่า 32 ล้านบาท รองลงมา คือ ไมโล กีฬา คือ ครูชีวิต ใช้เม็ดเงินทางสื่อทีวีคิดเป็นมูลค่า 22 ล้านบาท
อันดับ 3 เป็นของบริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (ประเทศไทย) จำกัด มีการใช้เม็ดเงินคิดเป็นมูลค่า 1,596 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ประมาณ -19% โดยแคมเปญที่ใช้เม็ดเงินโฆษณาสูงสุดในช่วงเดือนก.ย. ที่ผ่านมา คือ ดาวน์นี่ เอสเซนเชียลออยล์ ใช้เม็ดเงินทางสื่อทีวีคิดเป็นมูลค่า 23 ล้านบาท รองลงมา คือ ใหม่ รีจอยส์ สูตรผมยาว ดูเรียบลื่น มีการใช้เม็ดเงินทางสื่อทีวีคิดเป็นมูลค่า 22 ล้านบาท
ดูจากตัวเลขเม็ดเงินโฆษณาในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาแล้ว อุตสาหกรรมยังค่อนข้างสาหัสมีความเป็นไปได้สูงว่าภาพรวมปี 2563 จะติดลบเป็นตัวเลข 2 หลัก เพราะทุกสื่อยังคงอยู่ในแดนลบ มีเพียงสื่ออินเตอร์เน็ตเท่านั้นที่พอจะขยับตัวขึ้นมาแดนบวกได้บ้างที่ประมาณ 2%
ข่าวเด่น