ถือเป็นอีก 1 ปี ที่ธุรกิจอีเวนต์ค่อนข้างสาหัส เพราะปีนี้เจอหลายวิกฤตไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจและกำลังซื้อชะลอตัว การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และล่าสุดก็มีการชุมนุมประท้วงเกิดขึ้น ทำให้ภาพรวมธุรกิจอีเวนต์ต้องสะดุด เนื่องจากสินค้าต่างๆ ยังต้องระมัดระวังในเรื่องค่าใช้จ่าย และต้องปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้อีเวนต์ขนาดใหญ่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับอีเวนต์ในส่วนของภาครัฐ ที่งดจัดไปเป็นจำนวนมาก จากผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้มีการประเมินว่า ภาพรวมธุรกิจอีเวนต์จะกลับมาฟื้น และมีอัตราการเติบโตเป็นปกติได้ต้องใช้ระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปี
นายอุปถัมภ์ นิติสุขเจริญ นายกสมาคมธุรกิจสร้างสรรค์การจัดงาน (EMA) และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไร้ท์แมน จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยลบที่เกิดขึ้นในขณะนี้ โดยเฉพาะเรื่องการชุมนุมประท้วงของกลุ่มเยาวชน หากไม่มีการยืดเยื้อไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของธุรกิจอีเวนต์มากนัก แต่ในทางจิตวิทยาคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเมื่อมีการชุมนุม แบรนด์สินค้าระดับโลกที่มีแผนจะจัดงานอีเวนต์มีการชะลอการจัดงานเปิดตัวสินค้าออกไปจนกว่าจะสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว ไม่ใช่แค่เอกชนที่หันมาประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดอีเวนต์เท่านั้น แต่ในส่วนของภาครัฐก็มีการประหยัดและปรับลดค่าใช้จ่ายและยกเลิกการจัดงานอีเวนต์ออกไปด้วย เพราะบรรยากาศไม่เอื้อให้จัดงานอีเวนต์ ซึ่งจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้เม็ดเงินที่เคยไหลเข้าธุรกิจอีเวนต์หายไปประมาณ 60%
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีบางส่วนยกเลิกการจัดงานอีเวนต์ขนาดใหญ่ออกไป แต่ในส่วนของงานอีเวนต์ขนาดเล็กยังคงมีการจัดอยู่ เนื่องจากเจ้าของแบรนด์สินค้ามีการลดขนาดการจัดงานอีเวนต์ให้เล็กลง เช่นเดียวกับงานสัมมนา การประชุม และฟอรั่มวิชาการต่างๆ ก็ยังคงมีการจัดงาน แต่มีการปรับรูปแบบการจัดงานเป็นแบบ B2B (ธุรกิจต่อธุรกิจ)
นายอุปถัมป์ กล่าวต่อว่า จากผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้บริษัทต้องปรับโครงสร้างใหม่ ด้วยการปรับลดพนักงาน 25-30% ก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จากเดิมเคยมีทีมงาน 500 คน ปัจจุบันมีทีมงานเหลือเพียง 300 คนเท่านั้น ขณะเดียวกัน ก็ได้มีการปรับโมเดลธุรกิจให้หลากหลาย(Diversify) เพื่อมุ่งรับงานสร้างศูนย์การเรียนรู้ พิพิธภัณฑ์ และการปรับปรับปรุงโครงการต่างๆ เช่น สร้างหอชมเมืองสมุทรปราการ หอโหวดร้อยเอ็ด หอโหวดชมเมืองจังหวัดต่างๆ เพื่อหารายได้มาชดเชยธุรกิจอีเวนต์ที่หายไป
สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปีนี้นั้น "ไร้ท์แมน" ยังมีงานในมืออยู่อีกหลายงาน เพื่อสร้างเม็ดเงิน(Cash flow)เข้าบริษัท และประคองธุรกิจให้สามารถไปต่อได้ โดยในสิ้นปี 2563 นี้ "ไรท์แมน" คาดว่าจะมีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 600 ล้านบาท ถือว่าใกล้เคียงปี 2562 ที่ผ่านมา
นายอุปถัมภ์ กล่าวอีกว่า การที่ภาพรวมธุรกิจอีเวนต์จะกลับมาฟื้นตัวเติบโตได้อีกครั้งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก และมีความท้าทายสำหรับคนที่อยู่ในวงการธุรกิจอีเวนต์ เพราะปัจจัยลบที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ค่อนข้างสาหัส คาดว่าคงต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าธุรกิจอีเวนต์จะกลับมาเติบโตเป็นบวกเหมือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะภาพการเติบโตเป็นตัววี(V) เพราะ 2-3 เดือนแรก ธุรกิจดิ่ง ประเมินโควิดไม่ยืดเยื้อ แต่พอลากยาวเป็น 6 เดือน 9 เดือน ผู้ประกอบการเริ่มออกอาการไม่ไหว เนื่องจากธุรกิจต้องใช้ “เงินสด” สำรองจ่ายล่วงหน้า แต่กว่าจะเบิกเงินรับรู้รายได้จากลูกค้าใช้เวลา 2-4 เดือน
ด้านนายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตอนนี้มีอีเวนต์เริ่มกลับมาแล้ว แต่ขนาดของธุรกิจอีเวนต์ที่มีการจัดขึ้นในขณะนี้จะมีการปรับลดขนาดลงประมาณ 50-60% จากเดิม ซึ่งในส่วนของบริษัทเองก็มีอยู่ในรายได้รอการรับรู้(back log) อีกจำนวนหนึ่งซึ่งไม่มากนัก ทำให้แผนการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ต้องมีการ diversify ไปทำอย่างอื่นเพิ่มขึ้น
สำหรับภาพรวมของธุรกิจอีเวนต์ในปี 2562 ที่ผ่านมามีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 13,000 ล้านบาท ไม่นับรวมอีเวนต์ในรูปแบบเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เช่น คอนเสิร์ต แต่ถ้ารวมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ต งานแฟร์ งานเอ็กซิบิชั่น มูลค่าภาพรวมธุรกิจอีเวนต์น่าจะมีตัวเลขอยู่ที่ประมาณกว่า 3 แสนล้านบาท ซึ่งในส่วนของปี 2563 นี้ภาพรวมของธุรกิจอีเวนต์น่าจะติดลบ
อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการในธุรกิจอีเวนต์ก็ยังมีความหวังอยู่ที่ภาพรวมช่วงโค้สุดท้ายของปีนี้น่าจะค่อย ๆ ขยับตัวดีขึ้น แต่จะยังไม่กลับมาเหมือนเดิม เพราะในช่วงเวลา 3-4 เดือนที่หายไปจากการแพร่ระบาดของโรคคิด-19 ทำให้อีเวนต์หลายงานถูกเลื่อนออกไปแบบไม่มีกำหนด ซึ่งหากช่วงเวลาที่เหลือมีอีเวนต์กลับมาจัดงานได้ 40-50% ของปี 2562 ก็ถือว่าดีแล้ว เพราะจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้น ธุรกิจอีเวนต์จะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมอย่างน้อย ๆ อีก 1 ปี โดยเฉพาะการจัดงานคอนเสิร์ตในประทศไทยประเภท EDM ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาร่วมงานเป็นจำนวนมากยังไม่น่าจะเห็นภาพเกิดขึ้นในปี 2564
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า ปีหน้าถือเป็นอีก 1 ปีที่ยากลำบากสำหรับธุรกิจอีเวนต์ เพราะบางคนอาจจะไม่มีลมหายใจอยู่แล้ว เนื่องจากทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่าปีหน้าจะเป็นอีก 1 ปี ที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้รับผลกระทบ ซึ่งกว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติคาดว่าจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปี เช่นเดียวกับธุรกิจสายการบินที่คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวไม่ต่ำกว่า 3 ปี อย่างไรก็ดีเรายังคงมีความหวังว่าธุรกิจเดิมๆ จะอยู่รอด
สำหรับภาพรวมในการดำเนินธุรกิจของ “อินเด็กซ์” ล่าสุดได้ร่วมกับ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เอปสัน และออปโป้ ทุ่มงบประมาณ 80 ล้านบาท สร้างโปรเจคยักษ์แห่งปี “House of Illumination” หรือเฮ้าส์ ออฟ อิลลูมิเนชั่น ที่มีการนำแนวคิดด้านดิจิทัล ศิลปะ การมอบประสบการณ์ผสานเข้ากับเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกันจนกลายเป็น ศิลปะดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน บนพื้นที่ 1,800 ตารางเมตร ณ เซ็นทรัลแกลอรี ชั้น 8 ห้างเซ็นทรัล แอท เซ็นทรัลเวิลด์
การเกิดขึ้นของโปรเจคดังกล่าว “อินเด็กซ์” ต้องการปลุกปั้นให้เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ไปเยือน เบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานไม่ต่ำกว่า 8 แสนคน สร้างรายได้กว่า 300 ล้านบาท แม้สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะทำให้ไม่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้
ข่าวเด่น