ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มากพอสมควร สำหรับบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) โดยเฉพาะการระบาดที่เกิดขึ้นในรอบแรก เนื่องจากมีการประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศ เลยทำให้ผู้ประกอบการไม่ทันตั้งตัว โดยเฉพาะร้านอาหารที่เจาะกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติเป็นหลัก เล่นเอาแต่ละรายธุรกิจเซไม่เป็นท่า
แต่หลังจากหลายคนตั้งสติได้ก็กลับมาฮึดสู้กันต่อโดยการหาบริการใหม่ๆ มาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ไม่สามารถเดินทางออกมานอกบ้านได้ เช่นเดียวกับ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ที่ออกมาปรับตัวด้วยการหันมาเน้นการให้บริการแบบเดลิเวอรี่ ให้ความสำคัญในด้านของความสะอาด และปลอดภัย รวมไปถึงให้บริการแบบ Zero Touch ด้วยการใช้หุ่นยนต์ในการเสิร์ฟอาหาร
นายประพัฒน์ เสียงจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเชนร้านอาหารชื่อดัง ประกอบด้วย เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, ซิซซ์เลอร์, เบอร์เกอร์ คิง ,สเวนเซ่นส์ , แดรี่ควีน ,บอนชอน และเดอะ คอฟฟี่คลับ กล่าวว่า ในปี 2563 ที่ผ่านมา บริษัทยอมรับว่าได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 มากพอสมควร โดยเฉพาะการระบาดรอบแรก เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว เช่น การล็อกดาวน์ประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประทศไทยได้ ขณะที่ห้างค้าปลีกเองก็ต้องหยุดให้บริการชั่วคราว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดขอเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงทำให้เหลือเพียงเดลิเวอรี่ และ เทคอะเวย์ เท่านั้น
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวทำให้ ไมเมอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ต้องปรับกลยุทธ์ในการทำการตลาดอย่างเร่งด่วน เนื่องจากกลุ่มลูกค้าสำคัญเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งกลยุทธ์ที่ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป นำมาใช้ในช่วงแรก คือ การสร้างความเชื่อมั่นด้านความสะอาด และปลอดภัยให้กับผู้บริโภค เพราะช่วงเวลาดังกล่าวผู้บริโภคค่อนข้างมีความกังวลในด้านของความสะอาดและความปลอดภัย
ขณะเดียวกัน ก็เริ่มหันมาให้ความสำคัญในด้านของบริการเดลิเวอรี่ และเทคอะเวย์มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มมีพฤติกรรมให้ความสนใจสั่งซื้อสินค้าในรูปแบบเดลิเวอรี่ และเทคอะเวย์กันมากขึ้น เช่นเดียวกับการระบาดในระลอกใหม่นี้ ซึ่งแนวทางการทำตลาดของ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ในช่วงนี้ก็ยังคงให้ความสำคัญกับการบริการในรูปแบบดังกล่าว ควบคู่ไปกับการให้บริการหน้าร้านที่เข้มไปด้วยความสะอาดและปลอดภัย เนื่องจากรอบนี้ไม่มีการปิดห้างค้าปลีกเหมือนกับช่วงรอบแรก
แม้ว่าการระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ จะไม่มีการประกาศล็อกดาวน์ประเทศเหมือนครั้งแรก แต่ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ก็ยังคงต้องเผชิญกับโจทย์ใหญ่ นั่นก็คือ การขาดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเรื่องของความปลอดภัย ทำให้แผนการดำเนินงานต้องกลับไปอยู่ในสถานการณ์เดิมเช่นเดียวกับการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในรอบแรก ซึ่งสิ่งที่ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ต้องหันมาให้ความสำคัญ คือ ความสะอาด และความปลอดภัยเมื่อลูกค้าเข้ามาใช้บริการภายในร้านอาหารในเครือไม่ว่าจะเป็นพนักงาน บรรกาศภายในร้าน หรืออาหารที่นำมาให้บริการกับลูกค้า และเพื่อให้ลูกกค้ามีความมั่นใจในด้านบริการเกี่ยวกับการลดการสัมผัสอาหาร บริษัทได้มีการเพิ่มบริการแบบ Zero Touch ด้วยการใช้หุ่นยนต์ในการเสิร์ฟอาหารภายในร้านซิซซ์เลอร์ เพื่อเป็นการทดลองผลการตอบรับของลูกค้า

นายประพัฒน์ กล่าวว่า การระบาดระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ถือว่าไม่เซอร์ไพร์สมากนัก เพราะทุกประเทศมีแผนรองรับการแพร่ระบาดระลอกใหม่อยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ดี ไตรมาส 1 ของทุกปีถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของธุรกิจร้านอาหารในการสร้างรายได้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักย่อมส่งผลกระทบในด้านของตัวรายได้ ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้บริษัทต้องมีการพิจารณาที่รอบด้าน โดยเฉพาะในด้านของการขยายการลงทุนเปิดสาขาใหม่ในห้างค้าปลีกอาจจะต้องชะลอไปก่อน
อย่างไรก็ดี สำหรับในส่วนของสาขาที่อยู่นอกห้าง เช่น สถานีบริการน้ำมัน หรือสแตนด์ อะโลน ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ยังมีการเดินหน้าขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแบรนด์ที่มีศักยภาพและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทำเลที่กล่าวไปข้างต้น เช่น เบอร์เกอร์คิง และบอนชอน เป็นต้น
นายประพัฒน์ กล่าวอีกว่า ในปีที่ผ่านมาแม้จะต้องเจอกับผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่หลายแบรนด์ก็ยังมีการเติบโตที่ดี เช่น เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ที่มียอดขายเป็นบวก จากการปรับกลยุทธ์หันมาให้บริการแบบเดลิเวอรี่ และไดร์ฟ ทรู ขณะที่สาขาในแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติบางสาขาบริษัทยังคงปิดให้บริการ เพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย ควบคู่ไปกับการทำมาร์เก็ตติ้งรูปแบบใหม่อย่าง Digital Marketing และ Targeted Marketing แทน เพื่อเจาะลูกค้าเป้าหมายโดยตรงให้ได้มากที่สุด
นอกจากนี้ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ยังได้มีการพัฒนาแอปพลิเคชั่นเดลิเวอรี่ “1112 delivery” เพื่อให้บริการจัดส่งอาหารจากร้านอาหารแบรนด์ต่างๆ ของไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ให้กับลูกค้า ซึ่งปัจจุบันได้เพิ่มบริการจัดส่งจากร้านอาหารภายนอกด้วย และในปีนี้จะเห็นแบรนด์ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามามากขึ้น รวมทั้งมี co partner ใหม่ๆ และการร่วมกันจัดทำโปรโมชั่นใหม่ๆ ควบคู่ไปกับการใช้ Micro influencer เข้ามาช่วยในการโฆษณาสินค้ามากขึ้น เพื่อให้ปี 2564 มีรายได้เติบโตอยู่ที่ประมาณ 6%
สำหรับภาพรวมรายได้ของกลุ่มไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ในช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.2563) มีรายได้รวม 26,307 ล้านบาท แบ่งเป็น รายได้จากไตรมาสแรก 10,403 ล้านบาท รายได้ไตรมาส 2 ประมาณ 6,916 ล้านบาท และรายได้ไตรมาส 3 ประมาณ 9,050 ล้านบาท ในมูลค่ารายได้ดังกล่าวมาจากร้านเดอะ พิซซ่า คอมปะนี 41.3% สเวนเซ่นส์ 13.8% แดรี่ควีน 10.5% บอนชอน 10.2% เบอร์เกอร์คิง 9% ซิซซ์เลอร์ 9% และเดอะ คอฟฟี่ คลับ 2.4%
ปัจจุบันกลุ่มไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป มีจำนวนสาขาร้านอาหารในเครือรวมอยู่ที่ประมาณ 1,487 สาขา แบ่งเป็น ร้านเดอะ พิซซ่า คอมปะนี 420 สาขา สเวนเซ่นส์ 298 สาขา แดรี่ควีน 480 สาขา บอนชอน 70 สาขา เบอร์เกอร์คิง 97 สาขา ซิซซ์เลอร์ 63 สาขา และเดอะ คอฟฟี่ คลับ 59 สาขา
ข่าวเด่น