วันนี้ (12 ก.ค.64) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวแบบออนไลน์ ภายหลังการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ว่า สถานการณ์โควิด-19 ในกรุงเทพอและปริมณฑล ยังน่าเป็นห่วงมีผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง จากการระบาดของสายพันธุ์เดลต้า และแพร่กระจายไปยังจังหวัดอื่น ซึ่งขณะนี้พบผู้ติดเชื้อประมาณ 1 หมื่นรายกว่าวัน หรือ 1 แสนกว่าราย ใน 2 สัปดาห์นี้ ส่งผลให้การอัตราการเสียชีวิตมากขึ้น จึงต้องมีมาตรการป้องกันโรคที่เข้มงวดและมีประสิทธิภาพ
ที่ประชุมฯวันนี้ จึงมีการปรับแผนการฉีดวัคซีนใหม่ ประกอบด้วย
1.ให้ฉีดวัคซีนโควิด-19 สลับชนิด โดยเข็มที่ 1 เป็นซิโนแวค เข็มที่ 2 เป็นแอสตร้าเซนเนก้า ระยะห่างกัน 3-4 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์เดลต้า โดยโรงพยาบาลต่างๆ ดำเนินการได้ทันที
2.ฉีดวัคซีน แบบ Booster dose โดยให้วัคซีนเข็มที่ 3 ห่างจากเข็ม 2 ในระยะ 3-4 สัปดาห์ขึ้นไป
โดยบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม เกิน 4 สัปดาห์แล้ว จึงจะดำเนินการฉีดกระตุ้นบูสเตอร์ โดส ได้ทันที เพื่อกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันสูงและเร็วที่สุดกับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่เสี่ยงสัมผัสเชื้อโควิด-19 จากการปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วย และจากการกลายพันธุ์จากอัลฟ่า มาเป็นเดลต้า จึงยิ่งมีความจำเป็นต้องฉีดกระตุ้น
ทั้งนี้ การบูสเตอร์ โดส จะเป็นแอสตร้าฯ เป็นหลัก เพราะมีข้อมูลทางวิชาการว่า การให้วัคซีนกระตุ้นคนละชนิดจะเป็นผลดีต่อการสร้างภูมิคุ้มกันในบุคคล เพื่อป้องกันโรคโควิด-19 มากขึ้น
3.ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางในการใช้ชุดตรวจ แรพิด แอนติเจน เทสต์ ในสถานพยาบาล ลดการไปรอคิวนานจากการรอตรวจ RT-PCR ซึ่งใช้เวลานาน โดยชุดตรวจ แรพิด แอนติเจน เทสต์ ที่นำมาใช้นั้น ต้องมีการผ่านการรับรองและขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ปัจจุบันมีผู้มาขึ้นทะเบียน 24 ราย โดยจะอนุญาตให้ตรวจมาตรฐานในสถานพยาบาลกว่า 300 แห่ง และเร็วๆ นี้ จะอนุญาตให้ประชาชนซื้อตรวจได้เองที่บ้าน
4.เห็นชอบแนวทางการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) และแยกกักตัวในชุมชนชน (Community Isolation) สำหรับผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรง สามารถแยกกักตัวที่บ้าน และกักตัวในชุมชนได้ โดยจะมีระบบติดตาม มีเครื่องมือวัดออกซิเจนในกระแสเลือด มียา โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)มีแนวทางและจัดส่งอาหารให้ผู้ป่วยทุกราย
ที่ประชุมฯยังรับทราบเรื่องหน่วยบริการปฐมภูมิ ในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อเข้าดูแลผู้ป่วยถึงบ้าน ทั้งทางกายและจิตใจ หรือผู้ป่วยที่กลับมาจาก รพ.แล้ว และจะมีชุดคัดกรอง แรพิด แอนติเจน เทสต์ ไปให้บริการถึงชุมชนถึงบ้านที่ตัวเองอยู่
“ต่อจากนี้จะระดมฉีดให้แก่ผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค ซึ่งตั้งเป้าจะฉีดวัคซีนให้กับคนอายุ 60 ปีขึ้นไป ให้ได้ 1 ล้านคน ใน 2 สัปดาห์นี้ โดยเฉพาะพื้นที่ระบาดรุนแรงในกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งปัจจุบันฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 12 ล้านโดส แต่กลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรังยังฉีดให้กลุ่มนี้น้อย ไม่ครบตามที่ตั้งเป้า จึงต้องเร่งฉีดให้มากที่สุดและโดยเร็วที่สุด”นายอนุทินกล่าว
ข่าวเด่น