หลังจากพฤติกรรมของผู้บริโภคมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันกันมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต่างออกมาปรับตัว เพื่อรับมือกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะผู้ประกอบการค้าปลีกที่ปีนี้ดูเหมือนจะมีการขยับตัวในด้านของการใช้เทคโนโลยีกันมากขึ้น เห็นได้จากล่าสุด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ได้ออกมาจับมือร่วมกับบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด พร้อมกับผนึกความร่วมมือกับทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อประกาศความร่วมมือในการรังสรรค์ปรากฎการณ์แห่งเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน ผ่าน 3 ยุทธศาสตร์หลัก คือ
1.ยุคใหม่ไร้พรมแดน (GLOBALIZATION) ด้วยการให้ความสำคัญกับการมีพันธมิตรธุรกิจระดับประเทศ และระดับโลก ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระดับประเทศ เพื่อเสริมสร้างรากฐานและเพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งในการเติบโตของประเทศ
2.การปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล (DIGITALIZATION) องค์กรภาคธุรกิจหลักทุกภาคส่วน ต้องมีนวัตกรรมแห่งการเปลี่ยนแปลงให้เป็นโลกแห่งดิจิทัล (DIGITAL TRANSFORMATION) สู่เศรษฐกิจยุค 5.0 อย่างสมบูรณ์แบบ เข้าสู่โลกดิจิทัลแบบไร้ขีดจำกัด และมีระบบนิเวศทางดิจิทัลที่ครบวงจร (DIGITAL ECOSYSTEM) โดยต้องอาศัยการมี สมาร์ท ดิจิทัล แพลตฟอร์ม (SMART DIGITAL PLATFORM) หรือโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะที่อาศัยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
3.การท่องเที่ยวและการบริการ (TOURISM) ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ กลยุทธ์ที่สำคัญ คือ จะต้องรีโพสิชั่นนิ่ง (REPOSITIONING) วางเป้าหมายทางการท่องเที่ยวใหม่ มุ่งเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพเป็นหลัก
น.ส.ศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า เพื่อเดินตามยุทธศาสตร์ที่บริษัทได้วางไว้ดังกล่าว ล่าสุดบริษัทได้ร่วมกับบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮดดิ้งฯ จัดตั้ง บริษัท บิทคับ เอ็ม จำกัด ในสัดส่วน 50:50 เพื่อร่วมลงทุนและบริหาร บิทคับ เอ็ม โซเชียล ( BITKUB M SOCIAL )ให้เป็นดิจิทัลคอมมูนิตี้ (Digital Community) แห่งแรกของเมืองไทยที่จะเป็นศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยน ความรู้ การจัดสัมมนาและการประชุม ทางด้านเศรษฐกิจดิจิทัล การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล สนับสนุนในการสร้างองค์ความรู้สำหรับสตาร์ทอัพ (Startup) และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Entrepreneur Economy) และเป็นแหล่งพบปะของนักลงทุนที่สนใจในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เป็นศูนย์การเทรดและการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Trading & Exchange) รวมทั้งมี NFT Gallery & Gaming และนำเข้าสู่โลกของ METAVERSE ในอนาคต
ขณะเดียวกัน บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ก็ออกมาเปิดยุทธศาสตร์ด้านดิจิทัล เพื่อเชื่อมโลกคู่ขนานระหว่างออฟไลน์และออนไลน์ที่ไร้พรมแดน ด้วยการนำธุรกิจร้านค้า คู่ค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ ก้าวเข้าสู่การสร้างประสบการณ์ที่เงินซื้อไม่ได้บนโลกดิจิทัล เพื่อตอบสนองความต้องการของ Global Citizen โดยการสร้างสัมพันธ์กับลูกค้าแบบบูรณาการ (Loyalty Program) และเตรียมเริ่มใช้ VIZ Coins ให้ลูกค้าสามารถนำมาจับจ่ายใช้สอยได้

นายอริยะ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้ก่อตั้งบริษัท Transformational และทำหน้าที่ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายนวัตกรรม บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า ความมุ่งมั่นของบริษัทที่จะเดินไปนับจากนี้ คือ การเนรมิตประสบการณ์ที่แปลกใหม่และไม่เหมือนใคร เพื่อสอดรับความต้องการของลูกค้าคนสำคัญรวมทั้งลูกค้าที่มีกำลังใช้จ่ายสูงและกำลังมองหาประสบการณ์ที่ตรงใจมากกว่าที่ผ่าน 4 องค์ประกอบหลัก คือ 1.ผนึกร้านค้า คู่ค้า พันธมิตร และแบรนด์ที่หลากหลาย สร้างความตื่นตาและดึงดูดใจลูกค้าที่มีกำลังซื้อมากกกว่าที่เคย ด้วยการเปิดตัว Ultimate Chat & Shop 2. สร้างคอมมูนิตี้ที่คัดสรรความพิเศษมาให้โดยเฉพาะ ด้วยการนำเสนอคอนเทนต์กว่า 3,000 คอนเทนต์ในแต่ละเดือน
3. เชื่อมประสบการณ์โลกคู่ขนาน นอกจากการมีสินค้าหลากหลายและตรงใจ สิ่งสำคัญที่จะเข้าไปอยู่ในใจลูกค้ารุ่นใหมที่มีกำลังซื้อได้ ก็คือ คอนเทนต์และสินค้าเฉพาะบุคคล โดยการเชื่อมต่อโลกจริงสู่โลกเสมือนจริงด้วย Metaverse และ 4. สร้างระบบรีวอร์ดที่ไร้ขีดจำกัด ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์ม Loyalty Program ใหม่ และจะเริ่มใช้ VIZ Coins เพื่อสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับลูกค้าในการเลือกซื้อสินค้าภายในศูนย์การค้า และบนช่องทางออนไลน์
ด้านกลุ่มห้างสรรพสินค้า ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ก็ยังคงเดินหน้าทำการตลาดผ่านกลยุทธ์ Omnichannel อย่างต่อเนื่อง หลังพบยอดขายในช่องทางดังกล่าวเพิ่มขึ้นสูงถึง 120% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมียอดดาวน์โหลด Central App กว่า 4 ล้านครั้ง และยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 70% ขณะที่ Social Commerce อาทิ Chat & Shop และ Facebook Live ก็มียอดขายเพิ่มขึ้น 100% รวมไปถึง Personal Shopper โทร 1425 ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนพนักงานรวมกว่า 1,000 คน สามารถสร้างยอดขายให้เติบโตถึง 300%
จากความสำเร็จที่ได้รับดังกล่าวทำให้ เซ็นทรัล ออกมาประกาศแผนขับเคลื่อนธุรกิจด้วยโซลูชั่นทั้งสินค้าและแบรนด์ใหม่ๆ รวมไปถึงการสร้าง Ecosystem ของห้าง เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจของห้างเซ็นทรัลและโรบินสัน สู่การเป็นห้างแห่งอนาคตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน โดยตั้งเป้า 5 ปี (พ.ศ. 2564-2569) ยอดขายจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งกว่า 2 เท่า ผ่าน 6 กลยุทธ์ ดังนี้ 1. เลือกสรรสินค้าและบริการที่ดีที่สุดเพื่อลูกค้า (The Best In Class Product Assortment & Services) 2. ปรับปรุงและขยายสาขาเพิ่มความแข็งแกร่ง (The Most Ambitious Program of Store Transformations) ด้วยงบลงทุน 5,000 ล้านบาท เพื่อให้ห้างมีความเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคนในโลเคชั่นนั้นๆ
3. ห้างสรรพสินค้าออมนิชาแนลอันดับหนึ่งของไทย (The #1 Omnichannel Retailer in Premium Segment) ห้างเซ็นทรัลและโรบินสัน มุ่งพัฒนาออมนิชาแนลให้ดียิ่งขึ้น 4.สร้างความแตกต่างทางการตลาดที่เหนือกว่าเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า (The Most Outstanding Marketing Initiatives) ด้วยการสร้างประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น 5.สร้างความพึงพอใจสูงสุดให้ลูกค้า (The Highest Standards of Services) โดยมุ่งพัฒนาบริการของพนักงาน และ 6. มัดใจลูกค้าด้วยดาต้าที่สมบูรณ์แบบที่สุด (The Most Personalized Relationship to Customers) ด้วยการการออกแบบแคมเปญ CRM ให้เข้าถึงและตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้นจากการใช้ดาต้าบนฐานข้อมูล The1 ที่ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 18 ล้านราย
นอกจากทั้ง 3 รายที่กล่าวไปข้างต้น ยังมีห้างค้าปลีกหลายแบรนด์ที่หันมาให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี แต่ห้างค้าปลีกไหนจะประสบความสำเร็จมากกว่ากันก็คงต้องขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ที่นำมาใช้นับจากนี้
ข่าวเด่น