
"อะไรที่ทำให้เราทุกข์ปล่อยบ้าง วางบ้าง แค่ปล่อยทุกข์มันก็ไป ทุกข์มันไม่ได้อยากอยู่กับเรา" หนึ่งในธรรมบรรยายจาก พระเมธีวชิโรดม หรือ ว.วชิรเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระสิงห์ จ.เชียงราย ที่ได้เมตตามาบรรยายธรรม หัวข้อ "ธรรมวโรดม" พร้อมด้วยพระมหาอารยัน ชยาสุโภ และพระมหาสันทัด โสตถิวังโส ร่วมเสวนาธรรม บนเวที "เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ" จัดโดย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่
พระเมธีวชิโรดมได้เกริ่นนำโดยยกตัวอย่างเรื่องความทุกข์ให้ฟังว่า "สารพัดเรื่องสารพัดราวมันเกิดขึ้นในจิตใจเรา มันอยู่กับเราเพียงครั้งเดียว แต่เมื่อเราปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น เย็นไม่ได้ ก็เหมือนตายผ่อนส่ง กอดความทุกข์ไว้"
พระอาจารย์มีเรื่องเล่านำมาแบ่งปันผู้ฟังทั้งหลาย โดยตั้งชื่อเรื่องว่า "ชีวิตที่ดีต้องมีพัฒนาการสี่ด้าน" ถ้ามีด้านใดด้านหนึ่งยังไม่ใช่ชีวิตที่ดี
ด้านที่หนึ่ง คือ พัฒนาการทางกายหรือกายภาวนา คนจะได้ชื่อว่าสมบูรณ์ ชีวิตจะได้ชื่อว่าเป็นชีวิตที่ประเสริฐต้องพัฒนาให้ครบทั้งสี่ด้านพัฒนาการทางร่างกายต้องแข็งแรง หลายคนเมื่อกล่าวถึงพัฒนาการทางกาย มักจะไม่ได้มองที่ความแข็งแรงของร่างกาย หารู้ไหมว่าถ้ามีสุขภาพดีเป็นเหมือนรากแก้วแห่งความสุขของชีวิต ถ้าเรามีทุกอย่างแต่ไม่มีสุขภาพที่ดี มีไปก็เท่านั้น
ด้านที่สอง พัฒนาการทางศีล ต้องเป็นคนมีศีลมีสัตย์ ร่างกายแข็งแรงไม่พอ แต่เราต้องมีชีวิตที่สะอาด ถ้าชีวิตเราไม่สะอาดเสนอตัวไปรับใช้ใครที่ไหน เมื่อตรวจสอบนิดเดียวก็ไม่รอดเพราะมีมลทิน ถ้าวันนี้ถูกต้อง พรุ่งนี้ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล
ด้านที่สาม พัฒนาการทางจิต จิตใจต้องงดงามดีงาม ประเสริฐเลิศล้ำ มีคุณธรรมประจำใจ จะได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ร่างกายแข็งแกร่งแต่ใจคดในข้องอในกระดูกก็ไม่ได้ กายแข็งแรงมีศีลมีสัตย์จิตใจดีงาม แต่ถ้าไม่มีด้านที่สี่ ก็จะกลายเป็นคนใจดีแต่โง่ ก็จะถูกหลอกอีกเพราะฉะนั้นด้านที่สี่ต้องมา คือ ปัญญาต้องแหลมคม
ท่านว.วชิรเมธีเล่าต่อว่า คนเราพัฒนาการสี่ด้านจะชัดเจนขึ้นก็ต่อเมื่อได้ฟังเรื่องนี้ ท่านจึงเล่าเรื่องนายพรานคนหนึ่งเข้าไปในป่าเพื่อล่าสัตว์ ได้พบเสือติดกับดักของนายพรานอีกคนหนึ่ง ก็ดีใจว่าจะได้เสือไปขายโดยที่ไม่ต้องลงทุนลงแรง จึงหัวเราะอย่างมีความสุข เสือกล่าวกับนายพรานว่า เราดูบุคลิกของท่านก็รู้แล้วว่าท่านเป็นพรานมีคุณธรรม เราไม่ควรถูกจับมาอยู่ในกรง เพราะว่าพวกเราเป็นสัตว์สงวนท่านเข้าใจไหม นายพรานได้ฟังก็อึ้ง เสือจึงบอกว่านายพรานท่านรออะไรเล่า ปล่อยเราออกไป เมื่อได้ยินดังนั้น นายพรานก็ได้สติถ้าเราปล่อยท่านก็กินเราสิ แต่นายพรานก็สงสารให้เสือสัญญาว่าถ้าปล่อยออกมาแล้วจะไม่ทำร้าย เสือก็รับปากว่าจะไม่กินนายพราน
เมื่อนายพรานปล่อยเสือออกมา รู้สึกตัวอีกทีหนึ่งก็อยู่ใต้กรงเล็บเสือ "นายพรานโง่เอ๋ยเสือที่ไหนไม่กินคน" เสือกล่าว นายพรานรู้ว่าคงไม่รอดก็บอกกับเสือว่า ถ้ามากินเราซึ่งหน้ามันก็ไม่สง่างามสำหรับท่าน เสือก็วางมือแล้วให้นายพรานตามไปเจอต้นไม้ยักษ์ เสือให้นายพรานถามต้นไม้ว่าเสืออย่างเรามีความชอบธรรมพอที่จะกินมนุษย์หรือไม่ นายพรานถามต้นไม้พร้อมอธิบายว่าเราปล่อยเขาออกจากกรงแต่เขาก็จะมากินเรา ต้นไม้ตอบว่า คนอย่างท่านมาหาน้ำผึ้งก็ตัดกิ่งเรา มาไล่รังมดก็ตัดกิ่งเรา อาศัยเราทั้งชีวิตแต่ก็ระรานหักกิ่งของเรา ป่านี้เคยมีต้นไม้เยอะกว่านี้แต่เพราะคนอย่างท่านที่มาทำลาย คนอย่างท่านจึงควรถูกเสือกินเสีย เสือก็ดีใจหันไปหานายพราน แต่นายพรานก็ยังมีสติบอกว่าพยานท่านน้อยไป ท่านต้องไปหาอีกสักสองพยานท่านถึงจะได้กินเรา
ทั้งสองจึงพากันไปหาควาย นายพรานก็ถามควายว่าเราปล่อยเสือออกจากกรงแต่เสือก็จะกินเรามีความชอบธรรมหรือไม่ ควายก็ตอบว่าเสือมีความชอบธรรมที่จะกินคนอย่างท่าน เราเป็นควายเราไถนาให้คุณแก่ท่าน เมื่อเราแก่ตัวลงพวกท่านก็ฆ่าเรา เอาไปทำเป็นอาหาร นั่นคือสิ่งที่เราได้รับ ไหนคือความกตัญญูจากคน ฉะนั้นคนอย่างท่านจึงควรถูกกิน เสือได้ฟังก็ดีใจ หันไปหานายพรานบอกว่าเห็นไหมเรามีความชอบธรรมที่จะกินท่าน
นายพรานยังมีสติเพราะว่าเคยฝึกกรรมฐาน จึงบอกว่ายังขาดพยานสุดท้าย เสือจึงพานายพรานไปถามสุนัขจิ้งจอก สุนัขจิ้งจอกเป็นสัญลักษณ์ของปัญญาที่กะล่อน จิ้งจอกถามความเป็นมาว่าทำไมเสือจึงถูกจับ และนายพรานจึงจะถูกเสือกิน ให้พาไปดูที่เกิดเหตุ จิ้งจอกถามว่าเสือเป็นถึงเจ้าป่าทำไมจึงเข้าไปอยู่ในกรง เสือพยายามอธิบาย แต่จิ้งจอกบอกว่าช่วยทำให้ดูหน่อยเถิด เราอยากเห็นสภาพที่เจอกันครั้งแรก พอเสือเข้าไปในกรงนายพรานก็ปิดประตู ในที่สุดเสือก็กลับไปอยู่ในกรงเหมือนเดิม นายพรานรอดชีวิต และสุนัขจิ้งจอกก็รอดจากการถูกเสือกิน ต่างกลับบ้านอย่างมีความสุข
เรื่องนี้สอนว่าจะเป็นคนที่สมบูรณ์ต้องพัฒนาทั้งสี่ด้าน แต่เสือตัวนี้พัฒนาไม่ครบ สุดท้ายจึงต้องไปอยู่ในกรงเพราะขาดปัญญา ฉะนั้นถ้าพัฒนาได้ไม่ครบสี่ด้านสุดท้ายเราก็จะจบแบบเสือตัวนี้ คือไปจมอยู่ในกรงแห่งปัญหา อยู่ในกรงแห่งความทุกข์ไม่จบไม่สิ้น เราเป็นคนต้องฝึกพัฒนาตนให้ครบจึงจะเป็นบัณฑิตชน แต่ถ้ามีไม่ครบก็จะลดหลั่นกันลงมาเป็นกัลยาณชน สาธุชน ถ้ายังไม่มีเพียงข้อเดียวก็จะเป็นเพียงปุถุชน
พบกับเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ ผ่านช่องทาง facebook fanpage CPALL ทุกวันศุกร์ เวลา 12:00-13:30 น. และสามารถรับฟังย้อนหลังได้ที่ช่องทางเดียวกัน พร้อมรับฟังคติธรรมดี ๆ ในช่องทาง TikTok ได้ที่ ธรรมะ TikTok
ข่าวเด่น