
จากการสำรวจประจำไตรมาสแรกของปี 2567 ประชาชนมองเห็นโอกาสสำหรับการริเริ่มธุรกิจในอนาคตเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/2566 เป็นร้อยละ 52.3 จากเดิมร้อยละ 49.6 และมีความเห็นว่าไม่อยากลงทุนทำธุรกิจเพราะกลัวความล้มเหลว ลดลงเหลือร้อยละ 56.4 จากเดิมร้อยละ 64.6 ทั้งนี้ประชาชนร้อยละ 46.9 เห็นว่า สาเหตุที่ทำให้ไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง เพราะว่าไม่มีเงินทุนมากพอ
กรุงเทพโพลล์ร่วมกับคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจและการบริหารกิจการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจความเห็นประชาชนเรื่อง “คนไทยคิดอย่างไรกับโอกาสในการเป็นเจ้าของธุรกิจ ประจำไตรมาสแรก ของปี 2567 ”โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,178 คน พบว่า
การสำรวจความเห็นเกี่ยวกับจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการ (เจ้าของธุรกิจ) ประจำไตรมาสแรก ของปี 2567 โดยได้ทำการเปรียบเทียบกับการสำรวจครั้งที่ผ่านมา (ช่วงเดือน ธ.ค. 2566) ในประเด็นต่างๆ พบว่า ประชาชนเห็นโอกาสหรือความพร้อมสำหรับการริเริ่มธุรกิจในอนาคตมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 52.3 (โดยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 2.7) รองลงมาคือ มีความตั้งใจที่จะประกอบธุรกิจ ในอนาคตข้างหน้า คิดเป็นร้อยละ 45.1 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 ) และมีความรู้ความสามารถรวมถึงทักษะและประสบการณ์ที่จำเป็นในการที่จะเริ่มทำธุรกิจใหม่ คิดเป็นร้อยละ 44.6 (ลดลงร้อยละ 0.9) ขณะที่เห็นว่าไม่อยากลงทุนทำธุรกิจเพราะกลัวความล้มเหลว คิดเป็นร้อยละ 56.4 (ลดลง ร้อยละ 8.2)
ทั้งนี้สาเหตุที่ไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองมากที่สุดคือไม่มีเงินทุนมากพอ คิดเป็นร้อยละ 46.9 รองลงมาคือ กลัวล้มเหลว กลัวขาดทุน คิดเป็นร้อยละ 43.3 ปัญหาข้าวของราคาแพง ค่าครองชีพสูง คิดเป็นร้อยละ 42.8 คิดว่างานที่ทำอยู่มั่นคงแล้ว เลี้ยงตัวเองได้แล้ว คิดเป็นร้อยละ 29.3 และขาดความรู้ ความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจ คิดเป็นร้อยละ 28.8
โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
รายละเอียดในการสำรวจ
วัตถุประสงค์ในการสำรวจ
เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับจิตวิญญาณความเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจของคนไทยประจำไตรมาสแรก ของปี 2567 ในประเด็นต่างๆ รวมถึงเหตุผลที่ทำให้ไม่กล้าเริ่มธุรกิจเป็นของตนเอง ทั้งนี้เพื่อสะท้อนมุมมองความคิดเห็นของประชาชนให้สังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ
ประชากรที่สนใจศึกษา
การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างจากประชาชนทุกภูมิภาคทั่วประเทศที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โดยการสุ่มสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จากฐานข้อมูลของกรุงเทพโพลล์ และลงพื้นที่เก็บข้อมูลภาคสนาม ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) แล้วใช้วิธีการถ่วงน้ำหนักด้วยข้อมูลประชากรศาสตร์จากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error)
การประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน ± 3 ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
วิธีการรวบรวมข้อมูล
ใช้การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ (Enumeration by telephone) และลงพื้นที่เก็บข้อมูลภาคสนาม โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอนประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) จากนั้นจึงนำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 19-27 มีนาคม 2567
วันที่เผยแพร่ผลการสำรวจ : 1 เมษายน 2567
ข่าวเด่น