
“เมืองไทยประกันชีวิต” แจ้งเกณฑ์การให้มีค่าใช้จ่ายร่วมเฉพาะกรมธรรม์ใหม่ เริ่ม 20 มี.ค. นี้ เผยลูกค้าตอนนี้แตะ 3.8 ล้านคน เบี้ยประกันภัยรับรวมโตกว่า 71,800 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าปี 2568 ด้วยกลยุทธ์ “Boost Your Happiness by Our People” พัฒนารอบด้านอย่างมั่นคง ยั่งยืน โดยคำนึงถึงลูกค้าเป็นสำคัญ
นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยหลักเกณฑ์การให้มีค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment) หรือ Copay เฉพาะลูกค้าใหม่ และกรมธรรม์ใหม่ จะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค. เป็นต้นไป ขณะที่กรมธรรม์เก่าและการต่ออายุกรมธรรม์จะไม่มีผลบังคับใช้ Copayment ทั้งนี้หลักเกณฑ์ดังกล่าวจะนำมาใช้เฉพาะกรณีที่มีการเคลมเกินกว่าที่กำหนดไว้เท่านั้น ส่วนลูกค้าที่มีประวัติดีมีโอกาสในการปรับลดเบี้ยได้ถึง 15%โดยรายละเอียดเงื่อนไข Copayment จะมีการแถลงข่าวโดยสมาคมประกันชีวิตไทยในวันที่ 6 ก.พ.นี้
สำหรับในปี 2567 ที่ผ่านมา เมืองไทยประกันชีวิตได้เดินหน้าส่งมอบความสุขและรอยยิ้ม มุ่งตอบโจทย์ทุกความเป็นคุณ ในทุกช่วงของชีวิตอย่างไม่หยุดยั้ง พวกเราขอขอบคุณทุกความเชื่อมั่นและไว้วางใจจาก “ลูกค้าคนสำคัญ” ที่ทำให้ในปีที่ผ่านมาเมืองไทยประกันชีวิตมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวมกว่า 71,800 ล้านบาท มี New Business Premium หรือเบี้ยประกันภัยรับใหม่เติบโต 13% ซึ่งเป็นการเติบโตในกลุ่มสินค้าหลัก อาทิ Shield Life (ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ประกันชีวิตแบบภายในระยะเวลาและประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์) เติบโต 42% และแบบประกันคุ้มครองโรคร้ายแรง (รายเดี่ยว) เติบโต 24% เป็นต้น ด้านคะแนน NPS (Net Promoter Score) สูงขึ้นจาก 58 คะแนน เป็น 75 คะแนน ขณะที่ธุรกิจในภูมิภาค CLMV ยังมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง

“ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตของเราเกือบทุกแบบมูลค่าเป็นบวก ด้วยกรมธรรม์ระยะยาวที่ตอบโจทย์คนไทย เช่น การแก้ไขปัญหาเรื่องของภาษีมรดก ด้วยการใช้หลักประกันมารองรับเพื่อดูแลคนข้างหลัง การบริหารความเสี่ยงของหนี้เพื่อการลงทุน หรือแบบประกันคุ้มครองโรคร้ายแรง ที่วันนี้เทคโนโลยีทางการแพทย์มีการพัฒนาแล้ว ทำให้มีการเติบโตมากกว่าปีที่แล้ว 24% ซึ่งค่าความพึงพอใจของลูกค้าจากเกณฑ์วัดของ NPS ที่มีการเติบโตขึ้นจาก 58 คะแนน ในปี 2566 ขยับขึ้นมาถึง 75 คะแนนในปี 2567 ส่วน Assets ของเมืองไทยประกันชีวิต อยู่ในอันดับที่ 2 ด้วยมูลค่ามากกว่า 6.4 แสนล้านบาท และแน่นอนว่าเรื่องของความยั่งยืนเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับเมืองไทยประกันชีวิต ทางบริษัทฯ จึงมีการกำหนด Capital Adequacy Ratio หรืออัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน ณ สิ้นปี 2567 มากกว่า 350% ซึ่งสูงกว่าระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามเกณฑ์ที่หน่วยงานกำกับดูแลกำหนดที่ 140%

นอกจากนี้ เรื่องของความเชื่อมั่นมีความหมายกับทางบริษัทฯ มาก จึงต้องมี Third Party มาทำเรื่องของ Credit Rating โดยเราได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ และความแข็งแกร่งทางการเงินจาก S&P Global Ratings ที่ระดับ BBB+ และ Fitch Ratings ที่ระดับ A- และ AAA(tha)” นายสาระ กล่าว
ส่วนความสำเร็จของการเป็น Regional Company ที่บริษัทฯได้ขยายธุรกิจไปยังภูมิภาค CLMV นั้น ได้ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 2 ด้วยสัดส่วน 19% ในกัมพูชา และอันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 63% ในลาว ส่วนเวียดนาม ที่มีความท้าทายจากวิกฤติความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจเวียดนามในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็เริ่มกลับมาดีขึ้นที่ครองอันดับ 2 ผ่านการขายจากช่องทางตัวแทนธนาคารพาณิชย์

สำหรับในปี 2568 นี้ เมืองไทยประกันชีวิตยังคงตอกย้ำตัวตนในการเป็นแบรนด์แห่งการสร้างความสุขและรอยยิ้มที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง พร้อมยกระดับการส่งมอบความสุขผ่านกลยุทธ์ “Boost Your Happiness by Our People” บูสท์ความสุขของคุณด้วยคนของเมืองไทยประกันชีวิต ด้วยการเดินหน้าพัฒนาองค์กรในทุกภาคส่วน โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือการส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าทุกท่านด้วยความเป็นมืออาชีพ (Professionalism & Expertise) ความโปร่งใสและความสะดวกสบาย (Transparency & Convenience) และความไว้วางใจ (Commitment & Trust) ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในทุกช่วงชีวิต ประสบการณ์การบริการแบบไร้รอยต่อ (Seamless Experience) และคำมั่นสัญญาตลอดชีวิต (Lifelong Commitment) ผสานกันอย่างลงตัวเพื่อตอบโจทย์ในทุกความเป็นคุณ
ทั้งนี้ บริษัทฯ เดินหน้าพัฒนาองค์กรทุกภาคส่วน ด้วยการพัฒนาพนักงาน และฝ่ายขายให้มีความสามารถรอบด้าน เพิ่มทักษะการใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ผสมผสานอยู่ในทุกกระบวนการทำงาน (Data & AI Literacy) ทักษะด้านการสื่อสารและการบริหาร (Soft Skills) ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Expert Knowledge) และความเชี่ยวชาญในหลายมิติ (Cross-Domain Expert Knowledge) ควบคู่ไปกับสร้างความสุขจากภายในองค์กร ให้กับ “คนของเรา” ที่มีความหลากหลายให้ทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือ “การส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าคนสำคัญ”

โดยคนของเรา…พร้อมส่งมอบความสุขให้แก่ลูกค้าผ่านการวางแผนสำหรับทุกช่วงของชีวิต ทั้งการวางแผนทางการเงิน การวางแผนเกษียณ การวางแผนสุขภาพ และการวางแผนมรดก ด้วยความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต ประกันชีวิตแบบบำนาญ ประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง ประกันอุบัติเหตุ และประกันชีวิตควบการลงทุน รวมถึงฟีเจอร์พิเศษทั้งความยืดหยุ่นด้วยรูปแบบความคุ้มครองที่ปรับแต่งได้ (Modular Design) ความคุ้มครองที่ปรับได้ตามช่วงชีวิตของลูกค้า (Convertible Option) และการเติมเต็มความคุ้มครองที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น (Plus)
คนของเรา…พร้อมส่งต่อประสบการณ์ไร้รอยต่อผ่านบริการในช่องทางต่าง ๆ ตั้งแต่การซื้อประกันภัยที่สามารถเข้าถึงได้ทุกคนได้ทุกที่ทุกเวลา ทั้งช่องทางตัวแทน ช่องทางธนาคาร ช่องทางการขายผ่านโทรศัพท์ ช่องทางออนไลน์ และพาร์ทเนอร์ต่างๆ รวมถึงการให้บริการที่ครบวงจรและเข้าถึงได้ง่ายไม่ว่าจะเป็น ช่องทางสาขา Call Center 1766 แอปพลิเคชัน MTL Click เมืองไทยสไมล์คลับ และ MTL Fit เป็นต้น นอกจากนี้ลูกค้ายังจะได้รับความสะดวกสบายด้วยการทำธุรกรรมทางกรมธรรม์ และบริการหลังการขาย ไม่ว่าจะเป็นระบบ e-Payment หรือ e-Document เป็นต้น
สำหรับการสร้างสมดุลทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติบรรษัทภิบาล (ESG) นายสาระ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจประกันชีวิตอย่างมาก เพราะด้วยลักษณะของธุรกิจที่ให้ความคุ้มครองแก่ลูกค้าในระยะยาว ดังนั้นความเชื่อมั่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเมืองไทยประกันชีวิต จริงจังกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกก้าว ภายใต้การกำกับดูแลกิจการ และการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เพื่อเดินหน้าในการพัฒนาแบบประกันภัยที่ช่วยตอบโจทย์การเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุกคน (Democratize Insurance) พร้อมสร้างความรู้ด้านการวางแผนการเงินและประกันภัย (Financial & Insurance Literacy) ให้กับประชาชนทั่วไป และการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน
“ESG เป็นการเข้าไปทำในธุรกิจตัวเอง ซึ่งต้องมีการดำเนินธุรกิจที่มีความโปร่งใสที่สุด โดยเฉพาะการบริหารการลงทุนที่เหมาะสมกับกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ครอบคลุมดูแลระยะยาว เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้ที่มีเครดิตเรทติ้ง BBB+ ขึ้นไป ซึ่งเป็นประเภทที่ยึดโยงกับเรื่องของ ESG ทำให้กระบวนการลงทุนของเมืองไทยประกันชีวิต จะมีทีมนักวิเคราะห์คอยเสาะหาบริษัททั่วโลกที่มี ESG Factor ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อประเมิน Scenario ต่าง ๆ ว่าหากบริษัทนั้น ๆ โดนผลกระทบจากเรื่อง ESG เช่น เรื่อง Marginal Abatement Cosst หรือต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บริษัทนั้นจะมีการปรับ Financial Protection อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร เช่น เรื่องกระแสเงินสด หรือการบริหารกำไร”
นอกจากนี้ เมืองไทยประกันชีวิตในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก ได้ร่วมสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนผ่านโลกของเรา ประกาศความมุ่งมั่นในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Commitment) ด้วยเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์จากการดำเนินงานของบริษัทฯ (ขอบแขตที่ 1 และ 2)* ภายในปี 2573 (2030) ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินงานภายในบริษัทฯ
“ในปีนี้เราตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นปีที่ สีบานเย็นจะบานสะพรั่งทั่วประเทศ โดยเมืองไทยประกันชีวิตจะยกระดับความสุขให้กับทุกคน ทั้งลูกค้า พาร์ทเนอร์ พนักงานและฝ่ายขายของเรา และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ผ่านผลิตภัณฑ์ บริการ และช่องทางการขายต่าง ๆ สีบานเย็นจะรวมพลังกันอย่างแข็งแกร่ง เพื่อส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้ลูกค้าคนสำคัญของเราทุกคน” นายสาระ กล่าว
ข่าวเด่น