ประกัน
BKI ชูแผนปี 68 ขับเคลื่อนด้วยความโดดเด่นและแตกต่าง ด้วยเทคโนโลยี AI - นวัตกรรม ตั้งเป้าเบี้ยรับรวม 34,200 ล้านบาท เติบโต 8%


“กรุงเทพประกันภัย” เปิดเผยแผนดำเนินงานปี 68 เดินหน้ายกระดับองค์กรสู่ความเป็นเลิศที่โดดเด่นและแตกต่างในทุกมิติ ภายใต้แนวคิด Distinguished Excellence ด้วยเทคโนโลยี AI และ นวัตกรรม ตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยรับรวมแบบท้าทาย 34,200 ล้านบาท เติบโต 8% เผยผลประกอบการปี 67 แข็งแกร่ง กำไรสุทธิ 3,059.8 ล้านบาท
 

 
ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน กรรมการและประธานคณะผู้บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 2568 กรุงเทพประกันภัยจะขับเคลื่อนและยกระดับองค์กรให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น ด้วยความโดดเด่นและแตกต่างในทุกมิติ ภายใต้แนวคิด Distinguished Excellence ด้วยเทคโนโลยี AI และนวัตกรรม ซึ่งมั่นใจจะเป็นก้าวย่างครั้งสำคัญที่จะสร้างโอกาสใหม่ในการขยายธุรกิจให้เติบโตไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง

 
โดยปี 2568 นี้ ตั้งเป้าแบบท้าทาย ที่เบี้ยประกันภัยรับรวม 34,200 ล้านบาท เติบโต 8% จากเบี้ยประภัยรับรวมปี 2567 ที่ทำได้ 31,736.1 ล้านบาท โดยสัดส่วนจะเป็นเบี้ยประกันที่ไม่ใช่ประกันภัยรถยนต์ หรือ Non-Motor 19,500 ล้านบาท และ เบี้ยประกันรถยนต์ 14,700 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายรถยนต์ใหม่ยังมีความเปราะบาง ซึ่งเดิมปีก่อนยอดขายรถยนต์ใหม่จะไปอยู่ที่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) แต่ปัจจุบันคนไม่นิยมซื้อรถ EV แล้ว เนื่องจากมูลค่าของรถ EV ลดลงไปเรื่อยๆ และคนที่ซื้อรถ EV ไปแล้ว ราคาตกลงมาก

ดร.อภิสิทธิ์กล่าวว่า กลยุทธ์ในปี 2568 จะเดินหน้าสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนาการให้บริการ โดยเฉพาะการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบ Robot Process Automation (RPA) เพื่อเพิ่มประสิทธิ ภาพการทำงานและยกระดับประสบการณ์ลูกค้า รวมถึงจะให้ความสำคัญกับ Digital Innovation

 
สำหรับปี 2567 กรุงเทพประกันภัย มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 31,736.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.1% ซึ่งพลาดเป้าไปเล็กน้อยจากที่ตั้งเป้าไว้ 7.4% จากความเปราะบางของเศรษฐกิจ โดยมีผลกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว 1,871.0 ล้านบาท ลดลง 9.6 % ส่วนกำไรจากการลงทุนสุทธิเท่ากับ 1,799.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.5% ทำให้บริษัทฯ มีกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 3,670.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9% และมีกำไรสุทธิ 3,059.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5% คิดเป็นกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 28.74 บาท และบริษัทฯ ยังคงสามารถรักษาอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินในระดับสูงหรือ Credit Rating A- (Stable) (ณ ต.ค. 67) โดย Standard & Poor’s (S&P) สถาบันการจัดอันดับทางการเงินชั้นนำของโลกได้อย่างต่อเนื่อง
 
ปัจจุบันกรุงเทพประกันภัยเป็นบริษัทย่อยที่สร้างรายได้หลัก ให้แก่ บริษัท บีเคไอ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BKIH ซึ่งประกอบธุรกิจผ่านการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยมุ่งลงทุนในธุรกิจหลักด้านการประกันภัยและธุรกิจอื่นที่หลากหลายและมีศักยภาพ สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2567 (ม.ค.-ธ.ค.) บีเคไอ โฮลดิ้งส์ มีรายได้รวม 23,422.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.8% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการรับประกันภัย 21,481.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% และมีรายได้จากการลงทุน 1,940.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.0% โดยมีผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 1,854.8 ล้านบาท และรายได้สุทธิจากการลงทุนเท่ากับ 1,802.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.7% ทำให้มีกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 3,657.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 3,046.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.1% คิดเป็นกำไรต่อหุ้นส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้น 28.61 บาท สำหรับการจัดสรรเงินปันผลในปี 2567 บริษัทฯ จัดสรรเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วอัตราหุ้นละ 11.25 บาท และในงวดสุดท้ายของปี 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเสนอให้จ่ายเงินปันผล หุ้นละ 5.75 บาท รวมจ่ายเงินปันผลทั้งปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 17 บาท โดยมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 5.84%
 
ดร.อภิสิทธิ์กล่าวต่อถึงแนวโน้มของธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2568 สมาคมประกันวินาศภัยไทยคาดว่าจะขยายตัว 1.5-2.5% ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า คิดเป็นเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง 2.91-2.95 แสนล้านบาท ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตมาจากการเร่งขยายโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่จากเงินลงทุนภาครัฐ ประกอบกับประกันภัยสุขภาพที่เติบโตจากการตระหนักถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากสภาพแวดล้อมในปัจจุบันที่นำไปสู่โรคประจำฤดูกาล ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 รวมถึงปัจจัยค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อทางการแพทย์ (Medical Inflation) ด้านตลาดบ้านที่อยู่อาศัย ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อของประชาชนที่ลดลง แต่ด้วยสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงและบ่อยครั้งขึ้น ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้ประชาชนตระหนักถึงการประกันความเสี่ยงภัยดังกล่าว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อน้ำท่วมและลมพายุ
 
อย่างไรก็ตาม จากสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนผนวกกับภาระหนี้สินครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ยังคงเป็นปัจจัยกดดันการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัย จากผลกระทบด้านกำลังซื้อของผู้บริโภค ขณะเดียวกันความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่ส่งผลต่อเนื่องมายังยอดจำหน่ายสินทรัพย์ เช่น บ้านและรถยนต์ ยังเป็นปัจจัยที่ชะลอการเติบโตของเบี้ยประกันอัคคีภัยและประกันภัยรถยนต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งมาตรการด้านภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มแรงกดดันต่อการค้ากับประเทศจีน และส่งผลให้สินค้าจากจีนทะลักเข้าสู่ประเทศไทย โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่แนวโน้มการแข่งขันด้านราคาจะรุนแรงขึ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจนำไปสู่ความผันผวนของราคาและทุนประกันภัยที่บริษัทประกันวินาศภัยต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไป
 
“หลังจากในปี 2567 เป็นปีแห่ง Regenerative ที่กรุงเทพประกันภัยมุ่งเน้นการต่อยอดและพัฒนาการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทุกกิจกรรมในห่วงโซ่คุณค่าที่จะส่งมอบให้แก่ลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม รวมถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมให้ได้รับผลกระทบเชิงบวกจากกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ โดยนอกเหนือจากการสร้างผลิตภัณฑ์ประกันภัยและการบริการที่เหนือความคาดหวัง ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯ สามารถรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันวินาศภัยแล้ว ยังช่วยสร้างความยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทฯ ตลอดจนสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน แต่ในปี 2568 จะเป็นปีแห่ง Year of Distinguished Excellence ปีแห่งความเป็นเลิศที่โดดเด่นและแตกต่าง”ดร.อภิสิทธิ์ กล่าว

 
นางสาวปวีณา จูชวน ผู้อำนวยการใหญ่ กรุงเทพประกันภัย กล่าวว่า กรุงเทพประกันภัยให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้าในทุกมิติ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีและสร้างความประทับใจ โดยบริษัทฯได้นำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในหลากหลายด้าน เพื่อยกระดับการบริการสู่การเป็น “Service Excellence” ให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงสุด ดังต่อไปนี้

• RPA (Robot Process Automation) เทคโนโลยีที่บริษัทฯ ใช้มาตั้งแต่ปี 2562 เพื่อช่วยให้ระบบทำงานอัตโนมัติ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดขั้นตอนซ้ำซ้อนและข้อผิดพลาด ส่งผลให้สามารถบริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ โดยในปี 2568 นี้ บริษัทฯ ได้นำเทคโนโลยี RPA และ AI OCR (Optical Character Recognition) เข้ามาใช้ร่วมกัน ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถของระบบงานต่างๆ ภายในองค์กรได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้บุคลากรได้มีเวลาทำงานเพิ่มขึ้น และมุ่งเน้นไปยังงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การวิเคราะห์ และการติดต่อกับลูกค้า รวมถึงเป็นการส่งเสริมด้านการพัฒนาทักษะใหม่ๆ ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้องค์กร โดยบริษัทฯ จะนำ RPA และ AI OCR มาใช้ในหลายส่วน อาทิ ขั้นตอนการออกกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ การออกใบสั่งงาน และการเปิดเคลม ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการทำงาน?ได้ 450,000 ?Transactions ต่อปี? และลดชั่วโมงการทำงานได้ถึง 35,160 ชั่วโมงต่อปี

 
• AI OCR (Optical Character Recognition) เทคโนโลยีที่สามารถแปลงภาพหรือแปลงเอกสารเป็นข้อความดิจิทัลแบบอัตโนมัติ โดยนำระบบ AI เข้ามาช่วยทำความเข้าใจและตีความในภาษาแบบอัตโนมัติเพื่อนำข้อมูลจากภาพและเอกสารไปใช้ในกระบวนการทำงานต่อไปได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการที่เคยใช้เวลาและแรงงานมาก เป็นการทำงานที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยบริษัทฯ ได้นำ AI OCR มาใช้ในหลายด้าน เริ่มจากฝ่ายบัญชีและการเงิน เช่น ใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ และเอกสารอื่นๆ ซึ่งช่วยลดเวลาการทำงาน ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการป้อนข้อมูลด้วยมือ พร้อมทั้งช่วยให้การจัดการข้อมูลมีความแม่นยำและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าภายในปี 2568 จะสามารถช่วยจัดการเอกสารต่างๆ ได้ 327,119 แผ่นต่อปี และลดชั่วโมงการทำงานได้ 16,356 ชั่วโมงต่อปี

• AI Agent รับแจ้งอุบัติเหตุที่ไม่เร่งด่วน (เคลมแห้ง) และให้บริการตอบคำถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป เช่น ขั้นตอนการเคลม การจ่ายสินไหมทดแทน โดยคาดว่าจะมีจำนวน 235,000 สายต่อปี ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องรอสายเป็นเวลานาน นอกจากนี้ ยังช่วยลดภาระงานซ้ำซ้อนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการลูกค้า ช่วยลดอัตราสายที่พลาดการติดต่อ และเพิ่มประสบการณ์การให้บริการที่ราบรื่นและพึงพอใจแก่ลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการแจ้งอุบัติเหตุที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น

• AI ช่วยอนุมัติการซ่อมรถได้รวดเร็ว บริษัทฯ ได้นำ AI มาใช้ในกระบวนการอนุมัติการจัดซ่อมรถยนต์ของอู่ สำหรับกรณีที่มีวงเงินไม่เกิน 10,000 บาท ได้ภายใน 1 วัน ทำให้อู่ซ่อมสามารถเริ่มงานซ่อมได้ทันที และช่วยลดระยะเวลาการรอคอยของลูกค้า

• Self-Service Analytics เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้พนักงานสามารถเข้าถึง วิเคราะห์ และใช้ข้อมูลได้ด้วยตนเอง เนื่องจากมีการออกแบบให้ใช้งานง่าย ไม่จำเป็นต้องมีทักษะด้านเทคนิคสูง โดยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สนับสนุนการตัดสินใจที่แม่นยำและรวดเร็ว ลดความผิดพลาดจากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ล่าช้าหรือไม่ครบถ้วน นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มความคล่องตัวและส่งเสริมวัฒนธรรมการใช้ข้อมูลภายในองค์กร เพิ่มความโปร่งใสในการบริหารจัดการข้อมูล และทำให้เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เพื่อนำไปพัฒนาแนวทางการให้บริการเฉพาะบุคคล รวมถึงกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะสมต่อไป

• AI เสริมความแข็งแกร่งให้ระบบ Cyber Security บริษัทฯ ได้นำ AI มาช่วยตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์แบบเรียลไทม์ โดยเรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เป็นสัญญาณอันตราย ทำให้สามารถระบุภัยคุกคามได้ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการโจมตี ลดความเสี่ยงและป้องกันการละเมิดความปลอดภัยอย่างมีประสิทธิภาพ โดยถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การตรวจจับ วิเคราะห์ และป้องกันภัยไซเบอร์เป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกสูงสุดให้แก่ลูกค้า บริษัทฯ ได้พัฒนากระบวนการจ่ายสินไหมทดแทนให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ในกรณียื่นคำร้องการเคลมสินไหมทดแทนรถยนต์ที่บริษัทฯ วงเงินไม่เกิน 10,000 บาท และมีเอกสารครบถ้วน จะได้รับเงินสินไหมทดแทนเป็นเงินสดภายใน 20 นาที สำหรับค่าสินไหมทดแทนที่ลูกค้าต้องการให้โอนเงินเข้าบัญชีจะได้รับภายใน 3 วันทำการ และในอนาคตยังมีแผนขยายช่องทางการจ่ายผ่าน e-Wallet เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของคนยุคใหม่อีกด้วย
 
 
 
 
นางสาวปวีณากล่าวต่อไปว่า กรุงเทพประกันภัยเตรียมเปิดตัวแอปพลิเคชัน Bangkok Insurance โฉมใหม่ ที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว ทันสมัย เป็นมิตรและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ดิจิทัล พร้อมทำหน้าที่เป็น One-Stop Pocket Service ดูแลลูกค้าให้เข้าถึงบริการประกันภัยได้ทุกที่ ทุกเวลา ซึ่งมีการพัฒนาฟีเจอร์มาเพื่อรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่โดยเฉพาะ เช่น

• Video Claim แจ้งเคลมรถยนต์ผ่านวิดีโอคอลกับเจ้าหน้าที่

• ส่งพิกัดแจ้งสถานที่รถเกิดอุบัติเหตุ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือได้รวดเร็ว

• Tracking ติดตามสถานะเคลมสินไหมทดแทน

• ต่ออายุกรมธรรม์และชำระเบี้ยประกันภัยได้ทันที

• แจ้งเตือนเฉพาะบุคคล เช่น ต่ออายุกรมธรรม์เมื่อใกล้ครบกำหนด -แจ้งเตือนการใช้สิทธิลดหย่อน-ภาษีประจำปี

• ค้นหาอู่ซ่อมรถ/โรงพยาบาล ที่อยู่ในเครือข่ายได้ง่ายๆ

• เพิ่มช่องทางการชำระเงินให้ลูกค้าสะดวกยิ่งขึ้น

 
นอกจากนี้ กรุงเทพประกันภัยมุ่งมั่นยกระดับศักยภาพของพนักงานให้ก้าวทันโลกยุคดิจิทัล ผ่านการสร้างการรับรู้และพัฒนาทักษะด้าน AI เพื่อให้พนักงานสามารถนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในกระบวนการทำงาน พร้อมสร้างโอกาสในการเรียนรู้ และต่อยอดสู่การพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ไปพร้อมกับการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้และความสามารถรอบด้าน เพื่อก้าวสู่การเป็น “People Excellence” โดยในปี 2568 บริษัทฯ มีแผนจะจัดกิจกรรมและโครงการด้าน AI ตลอดทั้งปี เริ่มต้นด้วย AI Talk ซึ่งเป็นเวทีสัมมนาที่เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชื่อดังมาร่วมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ พร้อมเผยแนวโน้มของเทรนด์ AI ในโลกธุรกิจ ซึ่งกิจกรรมนี้จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากพนักงาน จึงได้ขยายการเรียนรู้ด้วยการจัดอบรม AI Training ให้พนักงานตามทักษะและหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละบุคคลและหน่วยงาน

จากนั้นบริษัทฯ เตรียมจัดกิจกรรม AI Day ซึ่งเป็นงานแสดงนวัตกรรมด้าน AI โดยมีบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำมาร่วมนำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อให้พนักงานได้เรียนรู้และสัมผัสเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิด ต่อยอดแนวคิดในการนำ AI มาประยุกต์ใช้กับการทำงานจริง พร้อมส่งท้ายปีด้วยโครงการประชันไอเดียที่เปิดโอกาสให้แต่ละหน่วยงานนำเสนอโปรเจกต์เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ AI ในการทำงาน ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ภายในองค์กรแล้ว ยังเป็นเวทีที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการทำงานเป็นทีม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาการทำงานและเกิดผลลัพธ์ที่ดีไปสู่ลูกค้าและคู่ค้าของบริษัทฯ

 
ด้าน นางสาวลสา โสภณพนิช ผู้อำนวยการใหญ่ กรุงเทพประกันภัย กล่าวถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ว่าบริษัทฯ ได้สร้างสรรค์ประกันภัยใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจ รองรับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ พร้อมนำเสนอความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผ่านกลยุทธ์ Lifestyle Insurance ที่สามารถตอบโจทย์ทุก Pain Point ของลูกค้า เพื่อนำไปสู่การเป็น “Product Excellence” พร้อมกับการเพิ่มทางเลือกด้านความคุ้มครอง เพื่อให้ลูกค้ารับมือกับสภาวะเศรษฐกิจได้อย่างมั่นใจ

• ประกันภัยโรคร้ายแรง

สภาพแวดล้อมและพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ผู้คนมีความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงมากขึ้น ซึ่งโรคเหล่านี้มักมาพร้อมกับค่ารักษาพยาบาลที่สูงและระยะเวลาการรักษาที่ยาวนาน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้และภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว กรุงเทพประกันภัยจึงพัฒนาแผนประกันภัยโรคร้ายแรง ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมโรคสำคัญ อาทิ โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน โรคหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน โรคไตวายเรื้อรัง โรคสมองอักเสบจากเชื้อไวรัส และโรคเบาหวาน ด้วยความคุ้มครองตั้งแต่ 100,000 - 1,000,000 บาท เมื่อตรวจพบโรคร้ายแรงดังกล่าวเป็นครั้งแรก พร้อมเงินชดเชยรายวันเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในช่วงที่ต้องหยุดพักรักษาตัว ซึ่งแผนประกันภัยนี้ออกแบบมาเพื่อช่วยเพิ่มความอุ่นใจแม้ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ด้วยเบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเพียง 1,600 บาทต่อปี

• ประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ เพิ่มความคุ้มครองสัตว์เลี้ยง (สุนัขและแมว)

จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ โดยเฉพาะช่วงหลังวิกฤติโควิด-19 ที่คนไทยมีการเดินทางไปยังต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กรุงเทพประกันภัยได้พัฒนาแผนประกันภัยการเดินทาง Travel Delight Plus โดยเพิ่มความพิเศษยิ่งขึ้น ด้วยความคุ้มครองสำหรับผู้เดินทางที่มีสัตว์เลี้ยง (สุนัขและแมว) เพื่อรองรับเทรนด์ Pet Humanization ที่ผู้คนให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงและร่วมเดินทางด้วยกันมากขึ้น ซึ่งจะครอบคลุมกรณีการได้รับบาดเจ็บของสัตว์เลี้ยง ขณะร่วมเดินทางในต่างประเทศไปกับผู้เอาประกันภัย โดยมีวงเงินคุ้มครอง 10,000 บาท/ตัว/ครั้ง เเละในกรณีเสียชีวิตจะได้รับความคุ้มครอง 10,000 บาท/ตัว/ครั้ง นอกจากนี้ ยังให้ความคุ้มครองกรณีฝากสัตว์เลี้ยงไว้ที่โรงแรมสัตว์เลี้ยงหรือศูนย์รับฝากเลี้ยง หากเกิดเหตุเที่ยวบินล่าช้าจนทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการฝากเลี้ยงที่ไทย

• ประกันภัยสำหรับบ้านหรู 20-50 ล้านบาท

ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียม พร้อมเจาะกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง บริษัทฯ เตรียมพัฒนากรมธรรม์ประกันภัยสำหรับบ้านอยู่อาศัยที่มีมูลค่า 20-50 ล้านบาท สำหรับเจ้าของบ้านที่ต้องการความคุ้มครองแบบครบครัน โดยจะเพิ่มความคุ้มครองทรัพย์สินมีค่า ความสูญเสียหรือเสียหายของ Solar Rooftop และอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะ ซึ่งให้ความคุ้มครองการกู้ข้อมูลที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ ยังครอบคลุมประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล พร้อมบริการเสริม Nursing at Home ดูแลช่วงพักฟื้นโดยบุคลากรทางการแพทย์ซี่งจะมาดูแลลูกค้าถึงบ้าน

• ต่อยอดความนิยม ประกันภัยรถยนต์ประเภท 2+ ขยายอายุรถถึง 25 ปี

ปัจจุบันประกันภัยรถยนต์ 2+ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยความคุ้มครองที่ตรงใจในราคาที่คุ้มค่า โดยหลังจากแผนประกันภัยรถยนต์ 2+ Super Special ของกรุงเทพประกันภัยเปิดตัวในปี 2566 ล่าสุดมียอดขายเติบโตขึ้นถึง 3 เท่า และเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ในปี 2568 บริษัทฯ จะขยายเงื่อนไขการรับประกันภัยให้ครอบคลุมรถยนต์ที่มีอายุรถสูงสุด 25 ปี นอกจากนี้ ยังเตรียมปรับปรุงแผนประกันภัยรถยนต์ประเภท 3+ ให้สอดรับกับสภาวะเศรษฐกิจ ตอบโจทย์ลูกค้าที่กำลังมองหาทางเลือกอื่นๆ นอกเหนือจากประกันภัยรถยนต์ประเภท 1
 
 
 
นางสาวลสากล่าวต่อไปว่า กรุงเทพประกันภัยมุ่งสู่ความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันวินาศภัยด้านการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน โดยยังคงมุ่งมั่นในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทุกกิจกรรมในห่วงโซ่คุณค่าที่บริษัทฯ จะส่งมอบให้แก่ลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม รวมถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมให้ได้รับผลกระทบเชิงบวกจากกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ พร้อมกับการใช้ศักยภาพความรู้และความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ เพื่อส่งเสริมสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีแผนจะดำเนินการโครงการใหม่ๆ ในปี 2568 ดังนี้
 
• กรมธรรม์ประกันภัยบ้านอยู่อาศัยที่ให้ความคุ้มครองค่าใช้จ่ายวัสดุก่อสร้างที่เป็นวัสดุ Green บริษัทฯ กำลังพัฒนากรมธรรม์ประกันภัยบ้านอยู่อาศัยแบบพิเศษ ที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับวัสดุก่อสร้างแบบ Green ซึ่งมีราคาสูงกว่าวัสดุปกติราว 30-40% รวมถึงค่าติดตั้งที่แพงกว่า เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการซ่อมแซมบ้านด้วยวัสดุรักษ์โลก ซึ่งเบี้ยประกันภัยจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากกรมธรรม์ประกันภัยบ้านอยู่อาศัยแบบปกติ

• กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ราคาประหยัด สำหรับผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเข้าถึงประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลแบบปกติได้อย่างจำกัด พร้อมเพิ่มความคุ้มครองค่าปลงศพ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว

• การเข้าสำรวจภัยและปรับปรุงความเสี่ยงภัยแก่โรงเรียน บริษัทฯ ได้นำความเชี่ยวชาญด้านการสำรวจและให้คำปรึกษาด้านความเสี่ยงภัย โดยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เข้าไปประเมินความเสี่ยงภัยและดำเนินการปรับปรุงด้านความปลอดภัยให้แก่โรงเรียน พร้อมจัดอบรมให้ความรู้แก่ครูและนักเรียนเกี่ยวกับการลดและป้องกันความเสี่ยงภัย เพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการปรับภูมิทัศน์ภายในโรงเรียนให้มีสุขอนามัยที่ดี

• การสำรวจภัยอู่ซ่อมในสัญญาของบริษัทฯ ในต่างจังหวัด หลังจากดำเนินการสำรวจและปรับปรุงความเสี่ยงภัยให้แก่อู่ซ่อมรถยนต์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้ว บริษัทฯ มีแผนขยายการสำรวจไปยังอู่ซ่อมในต่างจังหวัด โดยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งได้มีการจัดอบรมให้ความรู้แก่อู่ซ่อมเกี่ยวกับแนวทางการซ่อมรถที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการป้องกันการเกิดอัคคีภัย เพื่อเป็นหลักประกันความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจของอู่ซ่อมในสัญญา ลดความเสี่ยงความเสียหายต่อรถยนต์ของลูกค้าขณะรอซ่อม ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นว่าการซ่อมรถยนต์ของลูกค้าจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน

• การจูงใจให้ลูกค้าของบริษัทฯ มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่ดี ด้วยการมอบส่วนลดเบี้ยประกันภัยหรือ Gift Voucher แก่ลูกค้าที่ซื้อประกันภัยสุขภาพ ทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าต่ออายุ เมื่อแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนต่างๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ มะเร็งปากมดลูก บาดทะยัก ไข้เลือดออก หรือแสดงผลตรวจสุขภาพประจำปีที่มีค่าสุขภาพต่างๆ อยู่ในเกณฑ์ปกติ

• การให้ลูกค้าของบริษัทฯ มีส่วนร่วมในการบริจาคเงินแก่องค์กรการกุศล โดยลูกค้าที่ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยโรคมะเร็งกับบริษัทฯ โดยตรง หรือผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารกรุงเทพ จะมีส่วนร่วมในการบริจาคเงิน 50 บาทต่อกรมธรรม์ ให้แก่องค์กรการกุศล โดยไม่มีการปรับเพิ่มเบี้ยประกันภัยแต่อย่างใด ซึ่งได้เริ่มดำเนินการแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา
 
“ในปี 2568 นี้ นับเป็นอีกปีแห่งโอกาสครั้งสำคัญของกรุงเทพประกันภัยในการต่อยอดความสำเร็จสู่การสร้างความเป็นเลิศที่โดดเด่นและแตกต่าง ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตคนยุคใหม่ สร้างสรรค์นวัตกรรมบริการที่ตรงใจ ผ่านการนำเทคโนโลยีและดิจิทัลโซลูชันมาช่วยเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงาน รวมถึงพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ก้าวทันโลกดิจิทัล มุ่งพัฒนากระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับแนวทางความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญในการปกป้อง รักษา และฟื้นฟู เพื่อส่งมอบสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดีแก่คนรุ่นหลัง ไปพร้อมกับการยกระดับองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคงและแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิมในทุกมิติ”ดร.อภิสิทธิ์กล่าวปิดท้าย
 

LastUpdate 26/03/2568 19:51:38 โดย : Admin
09-06-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ June 9, 2025, 3:49 am